ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษา จำคุก "สมหญิง บัวบุตร" อดีต สส. เพื่อไทย 3 ปี 4 เดือน ปรับ 1 แสนบาท ทุจริตสนามฟุตซอล รอลงอาญา

วันที่ 5 ก.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีดำ กรณี นางสมหญิง บัวบุตร อดีต สส.อำนาจเจริญ พรรคเพื่อไทย กับพวกรวม 12 ราย ทุจริตในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2555 งบแปรญัตติ ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดอำนาจเจริญ ทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามฟุตซอล พร้อมอุปกรณ์ โดยมีลักษณะมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ

โดยจำเลยทั้ง 12 ราย ประกอบด้วย นางสมหญิง บัวบุตร อดีต สส. อำนาจเจริญ พรรคเพื่อไทย(จำเลยที่ 1), นายชินภัทร ภูมิรัตน อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) (จำเลยที่ 2), นายอดุลย์ กองทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ(จำเลยที่ 3), ห้างหุ้นส่วนจำกัด จี โอ โอ ดี (จำเลยที่ 4), นายอนุชา หรือ นนทชิต วงศ์มณีรัตน์ (จำเลยที่ 5)

บริษัท ที วี เอ็น เทคโนโลยี จำกัด (จำเลยที่ 6), นางสาวพรเพ็ญ ภิรมย์กิจ (จำเลยที่ 7), บริษัท วาย อี อี จำกัด (จำเลยที่ 8), นายยี พณิชยา (จำเลยที่ 9), บริษัท สปอร์ต แอนด์ เกม จำกัด (จำเลยที่ 10), นางสาวเบญจพันธ์ บุญบงการ (จำเลยที่ 11) และ นายพิพัฒน์ กาลพัฒน์ (จำเลยที่ 12)

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยปัญหาแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชอบที่จะดำเนินการไต่สวนคดีนี้ได้ภายในอายุความ ตามมาตรา 48 วรรคท้ายและโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ภายในอายุความ ตามมาตรา 77 วรรคท้าย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

...

ปัญหาต่อไปว่า จำเลย 2-3 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 โดยมีจำเลยที่ 1, 4-12 ร่วมกระทำความผิดหรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดหรือไม่

เห็นว่า จำเลยที่ 2 มีบันทึกข้อความขอเพิ่มงบประมาณจากคำของบประมาณเดิมที่ถูกปรับลด ซึ่งไม่ปรากฏคำขอเพื่อก่อสร้างสนามฟุตซอล ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ อันเป็นขั้นตอนปกติ ส่วนขั้นตอนการพิจารณาจัดสรรงบประมาณของ สพฐ. มีการจัดทำใบโควตา และมีการจัดสรรงบประมาณตามบัญชีรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองจริง หากไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว ย่อมต้องจัดสรรงบประมาณตามคำขอเดิมที่ได้วิเคราะห์ความขาดแคลนเป็นอย่างดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะจัดสรรนอกเหนือไปจากคำของบประมาณเดิม จำเลยที่2 แจ้งจัดสรรงบประมาณให้แต่เฉพาะโรงเรียนตามรายชื่อที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแจ้งมาเท่านั้น ทั้งที่โรงเรียนทั้ง 12 แห่งไม่เคยของบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลมาตั้งแต่แรก พฤติการณ์จึงบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า จำเลยที่2 ใช้อำนาจจัดสรรงบประมาณไปตามใบโควตา อันเป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขในชั้นกรรมาธิการที่กำหนดให้ต้องใช้ข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎรโดยการประสานงานจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายก่อสร้างสนามฟุตซอล อันเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้อื่นจากงบประมาณนั้น ย่อมเป็นการกระทำโดยทุจริตและเป็นการดำเนินการไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ สพฐ. และราชการ

ส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 เสนอคำของบประมาณเพิ่มเติมตามคำขอเดิมทั้งหมด จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการเสนอตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 เป็นเพียงการพิจารณาในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนขั้นตอนการพิจารณาจัดสรรงบประมาณของ สพฐ. นั้น บัญชีรายละเอียดขอสนับสนุนงบประมาณมีรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงบางราย แสดงให้เห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดที่ไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณก็จะไม่มีรายชื่อในบัญชีดังกล่าว แม้จำเลยที่ 1 เพิ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกได้เพียง 3 เดือนเศษ ก็ไม่มีเหตุผลที่บุคคลอื่นจะอ้างชื่อจำเลยที่ 1 ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนทั้ง 15 แห่ง ล้วนแต่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เลือกตั้งของจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น การที่มีรายชื่อจำเลยที่ 1 ปรากฏในบัญชีดังกล่าว จึงเป็นข้อพิรุธให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องในขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณด้วย ทั้งผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องย่อมไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอลรวมถึงรายชื่อโรงเรียน

แต่จำเลยที่ 1 กลับยืนยันว่าเป็นงบประมาณเพื่อก่อสร้างสนามฟุตซอล จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชีรายละเอียดขอสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้มีการดำเนินการตามใบโควตา ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) ของ สพฐ. อันเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้เงินงบประมาณโดยมิชอบ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณของ สพฐ. จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามมาตรา 151 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 แต่ความผิดฐานดังกล่าวนั้นขาดอายุความแล้ว

ส่วนจำเลยที่ 3 เพิ่งมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สพป.อำนาจเจริญ ภายหลังจากโรงเรียนยื่นคำของบประมาณกรณีปกติแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเสนอของบประมาณปกติมาแต่แรก ส่วนในชั้นการพิจารณางบประมาณแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในลักษณะเริ่มต้นจากบนลงล่าง การที่จำเลยที่ 3 ไม่ได้ทักท้วงจำเลยที่2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติอันจะส่อพิรุธว่าเป็นการทุจริต ส่วนการพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่พิจารณาอนุมัติให้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 2 แจ้งจัดสรรงบประมาณพร้อมรายชื่อโรงเรียน จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ สพฐ. และราชการ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ส่วนจำเลยที่ 12 ไม่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับผู้อำนวยการโรงเรียนตามฟ้องคนใด อีกทั้งจำเลยที่ 12 ก็รับราชการอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีคนละเขตพื้นที่กัน กรณีจึงไม่มีเหตุต้องให้จำเลยที่ 12 ช่วยดำเนินการในขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณ นอกจากนี้ ในวันที่จำเลยที่ 12 ชี้แจงที่ร้านต้นอ้อลาบเป็ดนั้น มีการแจกซองเอกสารสีน้ำตาลซึ่งระบุชื่อโรงเรียนไว้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 12 จะเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 12 มีส่วนร่วมหรือกระทำการใดอันเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะที่มีการกระทำความผิดในส่วนนี้

ส่วนจำเลยที่ 4-11 นั้น ไม่ปรากฏว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) เพื่อก่อสร้างสนามฟุตซอล ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4-11 เคยรู้จักหรือติดต่อกับจำเลยที่ 2 ในเรื่องการก่อสร้างสนามฟุตซอล อันจะทำให้เห็นว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยที่ 4-11 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4-11 กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะจำเลยที่ 2 กระทำความผิด

ปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 1-12 กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯหรือไม่ เห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างของโรงเรียนในสังกัด สพป.อำนาจเจริญ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่1 กระทำความผิดในส่วนนี้

ส่วนจำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งกรอบวงเงินที่จะจัดสรรเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ไปพบหรือติดต่อกับ ผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัด สพป.อำนาจเจริญตลอดจนผู้เสนอราคารายใด รวมทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในขั้นตอนการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของโรงเรียน ทั้งไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมในการจัดทำแผ่นซีดีด้วย จึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่2 กระทำความผิดในส่วนนี้

ส่วนจำเลยที่ 3 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลางตามคำสั่งที่ 200/2555 สืบเนื่องมาจากสพฐ. ไม่มีแบบมาตรฐานสนามฟุตซอลและผู้อำนวยการโรงเรียนได้มาหารือกับจำเลยที่ 3 แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 มิได้เป็นผู้ริเริ่มให้แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมาเองตั้งแต่แรก การใช้ข้อมูลจากแผ่นซีดีมิได้เกิดจากการบังคับหรือสั่งการของจำเลยที่ 3 หากแต่เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในของแต่ละโรงเรียนเอง ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 มีความเกี่ยวพันเป็นพิเศษกับผู้เสนอราคา จนอาจเป็นมูลเหตุนำไปสู่การชี้นำหรือสั่งการเพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้เสนอราคา

อีกทั้งขณะนั้นยังไม่ปรากฏข้อทักท้วงว่า การกำหนดเงื่อนไขรายชื่อหนังสือจะเป็นช่องทางกีดกันบุคคลอื่นมิให้เข้ามาร่วมแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรมได้ ลำพังรายชื่อหนังสือดังกล่าวยังไม่พอ บ่งชี้ว่าเป็นหนังสือที่ไม่สามารถหาได้ทั่วไปในท้องตลาดหรือเจ้าของสิทธิในหนังสือจะเข้ามาเสนอราคาด้วยการกระทำของคณะกรรมการกำหนดราคากลาง จึงอาจเป็นเพียงการกระทำตามแบบอย่างที่โรงเรียนอื่นบนพื้นฐานของข้อมูล และข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น ซึ่งหากจำเลยที่ 3 รู้ถึงความผิดปกติของการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว ก็ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 จะแต่งตั้งตนเองเป็นประธานคณะกรรมการกำหนดราคากลางทั้ง 2 ชุด ซึ่งทำให้ต้องเสี่ยงต่อการตรวจสอบกล่าวหาในภายหลัง จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ ตามฟ้อง

โดยศาลฯ มีคำพิพากษา จำคุก นางสมหญิง บัวบุตร จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน ปรับ 100,000 บาท จำคุกนายชินภัทร ภูมิรัตน จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 5 ปี ปรับ 150,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 5, 7, 9, 11 คนละ 2 ปี ปรับจำเลยที่ 4, 6, 8, 10 รายละ 22,467,500 บาท อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1, 2 และ 7 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้กำหนดคนละ 3 ปี โดยให้จำเลยที่ 1, 2 และ 7 รอการลงโทษ 3 ปี

ทางนำสืบของจำเลยที่ 4-11 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม จำคุกจำเลยที่ 5, 7, 9, 11 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 4, 6, 8, 10 คนละ 14,978,333.33 บาท จำคุกจำเลยที่ 12 เป็นเวลา 2 ปี และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3.