กลับไทยไม่มีดีล “ทักษิณ ชินวัตร” ยืนยันกับปาก เผย ตัดสินใจประสานรัฐบาล “บิ๊กตู่” ลั่น รักบ้านเมือง มีหน้าที่ต้องจงรักภักดี ที่สำคัญได้รับพระมหากรุณาธิคุณ มั่นใจ เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง 2570 พร้อมตอบ ประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล “แพทองธาร” หรือไม่


วันที่ 22 สิงหาคม 2567 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงถามตอบหลังการแสดงวิสัยทัศน์ในงาน Nation TV Dinner Talk : Vision for Thailand 2024 ถึงการกลับไทยเมื่อ 17 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ขณะก้มลงกราบแผ่นดินคิดอะไร นายทักษิณ ตอบว่า คิดว่าอยากอยู่ต่อ ไม่อยากไปอีกแล้ว พร้อมเล่าย้อนถึงการปฏิวัติซึ่งตนเองอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีคนบอกให้ทำใจว่า 3 ปี ตนได้บอกไปว่า 6 เดือนก็ไม่เอา ขณะนั้นจะเรียกว่าประมาทก็ได้ มีภารกิจที่ต้องไปประชุมหลายวง ยอมรับว่าได้กลิ่นการปฏิวัติแต่ไม่คิดว่าจะกล้าทำ

ส่วนการกลับไทยครั้งนี้มีดีลหรือไม่ นายทักษิณ เผยว่า ไม่มีใครมาดีล ไม่มีใครกล้าดีล เพราะไม่มีอะไรจะให้ดีล ดีลกับตนเสียเวลา ตนยอมรับว่ารักบ้านเมือง คิดถึงหลาน เวลาเขากลับก็น้ำตาตกใน มีความรู้สึกอยากกลับ คิดว่าไปตายเอาดาบหน้า ตัดสินใจแล้วจึงประสานกันกับรัฐบาลให้รู้หน่อย ขณะนั้นเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ให้ท่านรู้หน่อย เมื่อประสานเขาก็เตรียมการ ที่สำคัญได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ตนเองสำนึกว่าสิ่งที่เราได้รับ เรามีหน้าที่ตอบแทนให้บ้านเมือง มีหน้าที่ต้องจงรักภักดีตลอดไป ทำให้ตนได้กลับมาเป็นคนไทยอีกครั้งหนึ่ง พร้อมเผยว่าขณะนี้ได้รับใบบริสุทธิ์มาแล้ว

...

นายทักษิณ กล่าวต่อไปถึงสิ่งที่คิดว่าอยากทำอะไรให้ประเทศไทย โดยมองว่าเป็นหน้าที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พี่น้องคนไทยหลายคนยังมีความผูกพันกับตน เป็นหน้าที่ที่ต้องตอบแทนบ้านเมืองอย่างสุดฝีมือ พร้อมเปรียบเทียบว่าเป็นพระเอกหนังเรื่องโลกทั้งใบให้นายคนเดียว คำว่า นาย คือประเทศไทย

เมื่อถามว่าการเมืองไทยเปลี่ยนไปเยอะหรือไม่ นายทักษิณ ยอมรับว่าเปลี่ยนไปเยอะ ตั้งแต่หลังการปฏิวัติครั้งแรกและครั้งที่สอง การร่างรัฐธรรมนูญขณะนั้นจงใจให้การเมืองอ่อนแอ เพราะกลัวการเมืองแข็งแรงเหมือนสมัยตนเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่มีเคยมีประวัติศาสตร์เลือกตั้งชนะรอบที่ 2 แล้วได้ถึง 377 เสียง ซึ่งเขาไม่อยากเห็น ส่วนประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา นายทักษิณ ระบุว่า เช่นนั้นก็ประชาชนเป็นเผด็จการเพราะเลือกมา แต่ทหารเผด็จการน่ากลัวกว่า พร้อมมองว่ารัฐธรรมนูญต้องแก้เยอะ ปัจจุบันฝ่ายประชาธิปไตยแข็งแรงพอสมควร ขณะนี้ถึงเวลาแก้รัฐธรรมนูญ

ในประเด็นองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ นายทักษิณ ให้ความเห็นว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐบาลมาจากสภา ก็ต้องไปด้วยสภา หลักการของประชาธิปไตยคือ 3 เสาหลัก บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ซ้ำปัจจุบันยังมีนักร้อง ร้องจนสร้างเป็นอาชีพใหม่ ทั้งที่ผู้เสียหายและองค์กรที่เกี่ยวข้องมีสิทธิอยู่แล้ว ไม่ต้องมีนักร้องเช่นนี้ ก่อนจะย้ำว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อทบทวนองค์กรอิสระ เพราะการออกกฎหมายขององค์กรอิสระทั้งหลาย เป็นการไปออกกฎหมายให้เขาเขียนระเบียบเอาเอง จึงเกิดการใช้อำนาจตุลาการลึกไป ตนเองโดนมาเยอะ และเป็นคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมมากที่สุด

“มีคนจากก้าวไกลเคยถามผมว่า พรรคผมจะโดนยุบไหมครับ ผมบอกว่า ผมเนี่ยนะแค่โดนหมั่นไส้ อยู่เมืองนอก 17 ปี ยุบไป 3 พรรค แล้วของคุณมันจะไปเหลือเหรอ”

ในเรื่องของรัฐบาลปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลข้ามขั้ว อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เสถียรภาพไม่มีปัญหา บ้านเราชอบบัญญัติศัพท์กัน ประเทศไทยเป็นระบบรัฐสภา แต่โดยมารยาทการจัดตั้งรัฐบาลต้องให้ที่ 1 ก่อน ถ้าตั้งไม่ได้ให้ที่ 2 เขาตั้งไม่ได้เพราะไม่ยอมยกเลิกแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่พรรคอื่นเขาไม่เอาด้วย ไม่เช่นนั้นจบไปแล้วตั้งแต่พรรคก้าวไกลจับมือพรรคเพื่อไทย พร้อมกับมั่นใจเสถียรภาพ สส.ฝั่งรัฐบาล เพราะมี 300 กว่าเสียง และน่าจะถึง 330 เสียง ไม่มีอะไรที่เสี่ยง ส่วนงานที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะทำ ทีมงานที่รองรับก็น่าจะผลักดันกันได้ดี

นายทักษิณ ยังบอกด้วยว่า เลือกตั้งคราวหน้ามีโอกาสสูงที่พรรคเพื่อไทยจะมาที่ 1 ใหม่ รอบที่ผ่านมาถ้าหัวหน้าพรรค (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) ไม่ลาคลอดไป 10 กว่าวันในช่วงโค้งสุดท้าย หาเสียงจนจบ มั่นใจว่าไม่แพ้ ส่วนคำถามว่าอะไรที่ทำให้มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า นายทักษิณ ตอบว่า ของมันแน่อยู่แล้ว เคยชนะมาแล้ว ฟิตอีกหน่อยก็ชนะ ทั้งนี้ หลักของพรรคก้าวไกล เขาต้องการความเท่าเทียมของคน เขาเน้นสถานะ ทุกคนต้องเท่าเทียมกันหมด ส่วนพรรคเพื่อไทยอยู่ในบริบทการปฏิรูปของเศรษฐกิจ เน้นโอกาสทางเศรษฐกิจ การสร้างเนื้อสร้างตัวของคนไทย ซึ่งใช้มาตลอด ในตอนที่ชนะ 377 เสียง ด้วยคำเดียวกันนี้ก็คือโอกาส

“วันนี้ไม่ใช่ว่าคนไทยงอตีนงอมือ หรือว่าไม่ฉลาด แต่ว่าปัญหาคือโอกาสไม่มีให้เขา วันนี้เราดึงเงินออกจากต่างจังหวัด เวลาเงินไม่อยู่ งานก็ไม่อยู่ คนฉลาดก็ไม่อยู่ ก็ต้องหนีตามเงินมาหมด ระบบทุนนิยม เงินอยู่ที่ไหนคนไปทำงานที่นั่น เมืองหลวงถึงได้ใหญ่โตมโหฬาร เพราะเงินมันอยู่ที่เมืองหลวงหมด”

ขณะที่คำถามว่าการเลือกตั้ง 2570 พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคประชาชนตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ โดยไม่มีการพูดเรื่องมาตรา 112 เพราะศาลก็สั่งห้ามไปแล้ว นายทักษิณ ตอบว่า ในฐานะเคยเป็นผู้ก่อตั้งพรรค เรามีพันธมิตรที่ทำงานอยู่ในรัฐบาลร่วมกัน เขาต้องมีสิทธิที่จะร่วมกับรัฐบาลก่อน หลักการของการเมืองเป็นเช่นนั้น โดยพิธีกรได้ถามถึงว่าคนที่อยู่ด้วยกันมีพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายทักษิณ ถามกลับว่า “เที่ยวนี้หรือครับ” ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ประชาธิปัตย์เขามาร่วม เห็นไหมมางานเนี่ย วันนี้ประเทศไทยเราต้องสามัคคีกัน เราแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ตามนั้น มาเป็นศัตรูกันทำไม เราคนไทยด้วยกัน”