“จุลพงศ์” อัด “คารม” มีอคติส่วนตัว แสดงความคิดเห็นที่ทำให้เข้าใจได้ว่าสมควรยุบพรรคก้าวไกล ลั่น ไม่เป็นมืออาชีพในตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล แนะ นายกฯ ทบทวนการทำหน้าที่
วันที่ 5 สิงหาคม 2567 นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา ถึงกรณีที่ นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหาหัวหน้าพรรคและพรรคก้าวไกลหลายประการในการต่อสู้ทางกฎหมายในคดียุบพรรคก้าวไกล ว่า การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวของรองโฆษกรัฐบาล เกิดจากความมีอคติส่วนตัว และความไม่เป็นมืออาชีพในตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล
นายจุลพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ประการแรก การต่อสู้เรื่องอำนาจศาลที่กำลังพิจารณาคดี ในคดีใดคดีหนึ่งว่าศาลนั้นไม่มีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวนั้นเป็นการต่อสู้คดีโดยปกติที่ฝ่ายถูกร้องหรือฟ้องร้องสามารถยกขึ้นมาต่อสู้คดีได้ทุกคดีในศาล ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายที่ยกเรื่องศาลไม่มีอำนาจขึ้นมาต่อสู้แล้วเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล มีคดีในศาลจำนวนมากที่ศาลยกฟ้องด้วยเหตุที่มีการฟ้องผิดศาล คือโจทย์หรือผู้ร้องไปฟ้องต่อศาลที่ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี
ดังนั้นการที่พรรคก้าวไกลยกข้อต่อสู้ประเด็นหนึ่งว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกลจึงเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตรงกันข้าม การที่ผู้ที่ประกอบวิชาชีพกฎหมาย แต่พูดชี้นำศาลรัฐธรรมนูญว่า การยกข้อต่อสู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาคดีเป็นการละเมิดอำนาจศาลเช่นนี้ หากไม่ใช่การมีความรู้อันจำกัดของผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายแล้ว น่าจะเป็นการแสดงความเห็นโดยมีอคติส่วนตัวกับพรรคก้าวไกล
...
ประการที่ 2 การต่อสู้ของพรรคก้าวไกลที่ยกขึ้นต่อสู้เรื่องการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินกระบวนการไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และระเบียบ กกต. ในเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐานเพราะ กกต. ไม่ได้เรียกให้พรรคก้าวไกลได้มีโอกาสให้ข้อเท็จจริงหักล้างข้อกล่าวหาของผู้กล่าวหานั้น ขอชี้แจงว่าเป็นการต่อสู้ของพรรคก้าวไกลในวิธีพิจารณาของ กกต. ก่อนที่ กกต.จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
สำหรับขั้นตอนการรวบรวมและรับฟังพยานก่อนฟ้องคดีนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการดำเนินคดี เช่น หากเกิดร้องทุกข์ว่ามีการกระทำผิดในคดีอาญา ตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการโดยไม่มีการยกผู้กระทำผิดและพยานมาสอบสวน และอัยการก็ส่งสำนวนที่ไม่มีการสอบสวนที่ได้รับจากตำรวจนั้นไปฟ้องยังศาล ศาลย่อมยกฟ้อง เนื่องจากกระบวนการได้มาซึ่งพยานหลักฐานในชั้นตำรวจไม่ถูกต้องเพราะไม่มีการสอบสวนพยานเอกสารและพยานบุคคลเลย
ทั้งนี้ เรื่องกระบวนวิธีพิจารณาคดีก่อนการฟ้องคดีต่อศาล มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายสิบคดีตัดสินสอดคล้องกันมาตลอดว่าเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากการสอบสวนไม่ชอบ ศาลจะยกฟ้อง มิฉะนั้น หากตำรวจส่งฟ้องศาลโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง อัยการและศาลไม่ยึดหลักตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ผลที่เกิดขึ้นคือความวุ่นวายในสังคม หาความสงบเรียบร้อยไม่ได้ และคนในสังคมจะหาความยุติธรรมด้วยวิธีการของตนเอง แทนที่จะพึ่งตำรวจ อัยการ และศาล
ประการที่ 3 การใส่ร้ายว่าพรรคก้าวไกลดึงต่างประเทศมากดดันศาลรัฐธรรมญนั้น นายจุลพงศ์ มองว่า บุคคลที่มีความคิดเช่นนี้ขาดวุฒิภาวะในความเข้าใจสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ประเทศไทยไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวในสังคมโลกได้ คุณค่าของสังคมโลกในขณะนี้อยู่ที่การมีสิทธิมนุษยชนและสิทธิทางการเมืองของประชาชน ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีผลต่อการลงทุนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสิ้น ที่ผ่านมาเมื่อประเทศไทยเกิดรัฐประหารครั้งใด นานาชาติก็จะตัดการเจรจาการค้าและความร่วมมือทางทหารและสังคมกับประเทศไทย
ดังนั้น การที่รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาแสดงความคิดเห็นที่ทำให้เข้าใจได้ว่าสมควรยุบพรรคก้าวไกล ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีสมควรทบทวนการทำงานของรองโฆษกรัฐบาลคนนี้ว่าได้แสดงความคิดเห็นแบบมืออาชีพของการเป็นรองโฆษกรัฐบาลหรือไม่ เพราะไม่ได้บอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัวโดยไม่ใช่ความเห็นรัฐบาล มิฉะนั้นประชาชนจะเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมือง เหมือนเช่นที่เคยเกิดกับพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน.