“นิด้าโพล” ได้สำรวจความเห็นของประชาชนเรื่อง “ผู้มีบารมีนอกพรรค” เพื่อให้เห็นภาพคนการเมืองที่มีอิทธิพลและบารมีว่าใครแค่ไหนอย่างไร

ปรากฏ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้มีบารมีนอกพรรคมากที่สุด 67.40% รองลงมาคือ “เนวิน ชิดชอบ” 45.81% และ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” 40.99%

ไล่ตามพรรคที่เกี่ยวข้องคือ “เพื่อไทย”-“ภูมิใจไทย”-“ก้าวไกล” เพราะต่างคนต่างก็มีบทบาทอยู่เบื้องหลังไม่ต่างกัน

พูดง่ายๆคือเป็น “ผู้นำหลังม่าน”...ว่างั้นเถอะ

แต่ในสภาพความเป็นจริงคือผู้ที่มีบทบาทและควบคุมความเป็นไปของพรรคอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้

“เนวิน” นั้นได้แสดงให้เห็นค่อนข้างชัดเจนในการนำพาวุฒิสมาชิกอย่างต่ำ 150 คนขึ้นไป เดินเข้าสภาและยึดเก้าอี้ประธาน-รองประธานอีก 2 คนได้ทั้งหมด

นี่ต้องดูเก้าอี้ กมธ.อีกหลายตำแหน่ง

“อนุทิน ชาญวีรกูล” ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยน่าจะพูดถูก
เพราะไม่ได้ทำเองแต่ให้คนอื่นทำแทน!

หรืออย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” คงเป็นเพราะยังถูกเว้นวรรคการเมือง อันเนื่องมาจาก “อนาคตใหม่” ถูกคำสั่งยุบพรรคจึงไม่สามารถแสดงบทบาทโดยตรงได้

แต่ในทางปฏิบัติดูเหมือนจะสั่งซ้ายหันขวาหันตลอด แม้แต่พฤติกรรมของ สส.ก้าวไกลที่แสดงออกของแต่ละคนยังต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วย

ที่ชัดกว่านั้นคือแนวทางของพรรคจะถูกชี้นำว่าจะไปทางไหนอย่างไร

หรือการเดินเกมการเมืองที่ต้องมีการติดต่อหรือล็อบบี้ก็จะดำเนินการเอง อย่างการเดินทางไปพบ “ทักษิณ” ที่ต่างประเทศในช่วงที่มีการจัดตั้งรัฐบาล

...

เรื่องนี้เจ้าตัวยอมรับเองว่ามี “ดีล” จริงในภายหลัง

อีกคนนั้นไม่มีอำพรางซ่อนเร้นเพราะพฤติกรรมและการประกาศตัวอย่างชัดเจนไม่มีอ้อมค้อม โดยเฉพาะการที่ลูกสาว

เป็นหัวหน้าพรรค “เพื่อไทย” ด้วยก็ประกาศจะทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้อย่างเต็มที่

ตรงนี้จึงทำให้ประชาชนที่เห็นชัดและให้ความเห็นตรงกันว่า “ทักษิณ” คือผู้มีบารมีนอกพรรคที่มีอิทธิพลมากที่สุด

นับแค่ผลักดันให้ลูกสาวเล่นการเมืองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้วยังสนับสนุนให้เติบใหญ่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ก็เข้ามาเป็นผู้นำประเทศได้ก็โดย “ทักษิณ” ให้การสนับสนุน
“เพื่อไทย” คือฐานเสียงที่แน่นอนและมั่นคง

หลัง 22 ส.ค.67 ซึ่ง “ทักษิณ” จะพ้นมลทินโทษคงจะได้เห็นบทบาทและความชัดเจนเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากมีความเป็นอิสระไม่มีพันธะกรณีใดๆ

ด้วยความที่ผ่านการเป็นนายกรัฐมนตรีและผู้นำการเมืองมาก่อนหน้านี้ ทำให้มีบารมีมากกว่าคนอื่นๆ

ยิ่งปัจจุบันในฐานะผู้นำฝ่ายอนุรักษนิยมเต็มตัวเพื่อขวางทาง “ก้าวไกล” ไม่ให้ขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองในฐานะเบอร์ 1

จึงต้องแสดงตัวและแสดงบทบาทได้อย่างเต็มพิกัด

เพียงแต่อย่าให้ล้นหรือล้ำเส้นเกินไปเท่านั้น

เพราะบทเรียนได้สอนให้รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม