“สุรเชษฐ์-ศุภณัฐ-ชยพล” จี้รัฐบาลหยุดขยายสัมปทานทางด่วนเอื้อนายทุนเจ้าเดิม โดยไร้การแข่งขัน แถมเอาประชาชนบังหน้า แนะหลักการหมดสัมปทานต้องคืนรัฐ พร้อมเปิดทีมติดตามประเด็นทางด่วน-รถไฟฟ้า ชวนจับตา 14 ส.ค. รัฐบาลเตรียมเสนอโครงการสร้างทางด่วน Double Deck เข้า ครม.
วันที่ 27 กรกฎาคม 2567 พรรคก้าวไกล แถลง Policy Watch หัวข้อ “ทวงคืนทางด่วน หมดสัมปทานต้องคืนรัฐ” นำโดย นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ, นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 9 และ นายชยพล สท้อนดี สส.กรุงเทพฯ เขต 10 เนื้อหาภาพรวมเป็นการติดตามการทำงานของรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลพบว่ามีความพยายามเอื้อประโยชน์นายทุน ผ่านการขยายสัมปทานทางด่วนให้กับเอกชนเจ้าเดิมที่ถือสัมปทานดังกล่าวมายาวนาน รวมถึงมีแผนหาสร้างทางด่วนตอนใหม่ โดยให้กับเอกชนรายเดิม แบบไม่ต้องประมูล ไม่ต้องแข่งขัน เป็นการหาช่องเพื่อขยายสัมปทานโดยรัฐบาลเพื่อไทย
นายศุภณัฐ ลงรายละเอียดกรณีดอนเมืองโทลล์เวย์ หรือทางยกระดับอุตราภิมุข ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตามข้อตกลงในสัมปทาน จะมีการขึ้นค่าผ่านทาง โดยอธิบายว่า ทางยกระดับนี้มี 2 ตอน ได้แก่ ดินแดง-ดอนเมือง และ ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน ทั้ง 2 ตอนสร้างและอนุมัติไม่พร้อมกัน แต่ผู้รับสัมปทานเป็นเจ้าเดียวกัน โดยในปี 2532 รัฐบาลขณะนั้นเปิดประมูลสัมปทานตอนที่หนึ่งเป็นเวลา 25 ปี ตกลงค่าผ่านทางที่ 20 บาทตลอดสาย แต่ต่อมาเกิดการแก้ไขสัมปทานรวม 3 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2538 ครั้งที่สองในปี 2539
ในการแก้ไขครั้งที่สอง รัฐบาลขณะนั้นอ้างว่าต้องการสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ตอนที่ 2 แต่รัฐบาลกลับไม่เปิดประมูล กลับแก้ไขสัมปทานโดย (1) ขยายสัมปทานตอนที่หนึ่ง จากเดิมจะจบในปี 2557 เพิ่มอีก 7 ปี รวมเป็น 32 ปี และ (2) พ่วงสัมปทานตอนที่สอง ระยะเวลา 25 ปี ตั้งแต่ปี 2539-2564 โดยจิ้มเลือกเอกชนรายเดิมที่เป็นเจ้าของสัมปทานตอนที่หนึ่ง กลายเป็นเอกชนรายเดียวกันได้ทั้งสองสัมปทาน ต่อมาปี 2550 มีการแก้ไขรอบที่ 3 โดยขยายสัมปทานทั้งสองตอนให้กับเอกชนเจ้าเดิมเพิ่มไปอีก 13 ปี กลายเป็นไปจบที่ปี 2577 ทั้งคู่
...
“นี่คือเทคนิคลับลวงพราง ที่พอจะเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่รายใดก็มักใช้วิธีพ่วงสัมปทานของเดิม เพิ่มเติมด้วยส่วนต่อขยายใหม่ ผสมกันไปมั่วกันไปหมด อันเป็นการทั้งขยายสัมปทานเดิม และประเคนสัมปทานใหม่ โดยไม่ต้องมีการแข่งขันใดๆ”
นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่า ปีนี้รัฐบาลเพื่อไทยก็เตรียมแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 4 เพื่อขยายสัมปทานให้กับเอกชนเจ้าเก่าอีกรอบ โดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปูทางว่าทางด่วนกำลังจะขึ้นราคา ประชาชนจะไม่ไหว รัฐมนตรีบังเอิญเป็นห่วงประชาชนมาก ทั้งที่เรื่องสำคัญอย่างอื่นเช่นรถเมล์ก็ไม่เห็นจะสนใจ แต่พอเป็นเรื่องสัมปทานก็สนใจเป็นพิเศษ เลยชงมาว่าจะต้องลดราคา ต่อสายเจรจาหาเอกชน ซึ่งต้องถามว่ารัฐมนตรีคิดไปเองหรืออย่างไรว่าหรือเอกชนจะใจดีไม่ขึ้นค่าทางด่วนให้ฟรีๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะตามสัมปทานตกลงกันว่าต้องขึ้นราคา แต่เมื่อรัฐมนตรีชง เอกชนก็รับลูกด้วยการบอกว่าถ้าไม่อยากให้ขึ้นราคาก็ต้องขยายสัมปทานอีกรอบ แบบนี้ยิ่งเข้าทางรัฐมนตรี อ้างเหตุสั่งให้กรมทางหลวงไปศึกษาคำนวณว่าจะขยายสัมปทานอีกกี่ปี
จนถึงตอนนี้สัมปทานผ่านมาแล้ว 45 ปี จะจบปี 2577 แต่สิ่งที่รัฐบาลจะทำคืออยากขยายอีก แบบนี้เรียกว่า “ขยายแล้ว ขยายอยู่ ขยายต่อ” หรือไม่ แทนที่เมื่อหมดอายุ ทางด่วนจะตกมาเป็นของรัฐบาล รัฐบาลกลับสรรหาสารพัดข้ออ้างเพื่อขยายสัมปทานต่อไปเรื่อยๆ ให้เป็นของเอกชนรายเดิมต่อไปเรื่อยๆ และที่น่ากลัวกว่าคือรัฐบาลมีแผนที่จะออกสัมปทานตอนใหม่ คือตอนที่สาม รังสิต-บางปะอิน ซึ่งอาจถูกนำไปพ่วงเป็นมูลเหตุขยายสัมปทานครั้งใหม่โดยไม่มีการแข่งขัน
พรรคก้าวไกล ขอคัดค้านการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนด้วยวิธีการแบบนี้ สัมปทานควรหมดแล้วหมดเลย แล้วค่อยเปิดให้มีการแข่งขันใหม่อย่างเป็นธรรม จึงขอเรียกร้องให้หยุดขยายสัมปทานเดิม ประเคนสัมปทานใหม่ ทวงคืนทางด่วนให้ประชาชน ลองมาเป็นรัฐบาลที่สนใจประโยชน์ของประชาชนก่อนประโยชน์ของนายทุน เชื่อว่าถ้าทำได้ ประชาชนจะรักท่านมากกว่านี้ ประเทศไทยจะเจริญมากกว่านี้
ด้านนายชยพล กล่าวถึงการก่อสร้างทางด่วนศรีรัชชั้นที่ 2 หรือเรียกว่าโครงการ Double Deck ว่า อันที่จริงทางด่วนศรีรัชหมดอายุสัมปทานไปแล้ว แต่ช่วงประมาณปี 2563 ดันมีการขยายสัมปทานออกไปอีก 15 ปี 8 เดือน เพื่อแลกกับการที่เอกชนถอนฟ้องคดีต่อรัฐ หรือรู้จักกันในนาม “ค่าแกล้งโง่” และในวันนี้นายทุนใหญ่หน้าเดิมเล็งจะขยายสัมปทานเพิ่มอีก 22 ปี 5 เดือน ทำให้สัมปทานทั้งหมดรวมกันจะจบที่ปี 2601
สำหรับเหตุผลของการต่ออายุสัมปทาน รมว.คมนาคม อ้างว่าเพื่อลดราคาค่าทางด่วน โดยยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน อย่างไรก็ตามตนมองว่ามีหลายสิ่งที่น่าข้องใจ เช่น บอกว่าไม่เอื้อประโยชน์ให้เอกชน แต่นี่คือการเจรจาต่อสัมปทานโดยไม่มีการประกวดราคาใหม่ ทั้งที่สามารถรอให้สัมปทานเดิมหมดอายุก่อนก็ได้ เพราะปกติทุกการลงทุน เอกชนจะต้องวางแผนคำนวณจุดคุ้มทุน หรือจุดที่จะได้กำไรอยู่แล้วตามอายุสัมปทานที่มี ดังนั้นเมื่อหมดอายุสัมปทาน โครงสร้างของทางด่วนก็ควรกลับมาเป็นของรัฐ รัฐสามารถบริหารจัดการให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนได้ เช่น อาจให้ขึ้นทางด่วนฟรี หรืออาจเก็บเงินเพื่อเอารายได้มาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ หรืออาจมองว่าไม่สามารถบริหารจัดการเองได้เองเลยเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ
แต่ตอนนี้กลับเกิดความดันทุรังจะเร่งเซ็นสัญญาให้ได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังติดปัญหาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment – EIA) และการเวนคืนที่ดิน เช่น บริเวณใกล้สถานีกลางบางซื่อ มีประชาชนที่คัดค้านการสร้าง Double Deck เพราะได้รับผลกระทบจากการสร้างทางด่วนรอบแรก ปัญหาสำคัญคือเมื่อมีการสร้างทางด่วน พื้นที่ใต้ทางด่วนก็จะเป็นของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แทนที่ประชาชนจะได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน หรือพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ก็ไม่สามารถทำได้
ดังนั้นหากรีบเซ็นภายในปีนี้ เชื่อว่าจะติดปัญหาทั้งเรื่องอีไอเอ การเวนคืน และเสียงคัดค้านของประชาชน แล้วหากโครงการไม่สามารถเดินหน้าตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ในสัญญาที่จะเซ็นกันก็จะทำให้เกิดผลกระทบตามมาต่อรัฐบาล เช่น ค่าปรับ มูลเหตุการฟ้องร้องคดี หรือการหาเรื่องขยายสัมปทาน เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ของการที่รัฐบาลไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่ให้ประชาชนเป็นเพียง “ทางผ่าน” ไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงคือการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนรายเดิม เพิ่มเติมคือส่วนแบ่ง
ตนเข้าใจความจำเป็นเมื่อเมืองเติบโต มีคนเยอะขึ้น ก็ต้องมีการก่อสร้างถนน แต่คำถามคือจำเป็นต้องสร้างตอนนี้ ตรงนี้หรือไม่ หรือสามารถลงทุนด้านอื่น หรือที่อื่นได้ เช่น เพิ่มเส้นทางที่เป็นเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงเส้นทางที่เป็นเหมือนเส้นเลือดหลัก ตนต้องการให้รัฐบาลมองการพัฒนาขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการเดินทางได้อย่างเท่าเทียมทั่วถึงกันทั้งเมืองมากกว่านี้
ขณะที่ นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทั้งสองเรื่องข้างต้นมีความพยายามคล้ายกันที่จะหา “ข้ออ้าง” เช่น ลดราคา เพิ่มส่วนต่อขยาย แต่เนื้อหาที่แท้จริงคือการหาเหตุในการขยายสัญญาสัมปทาน เก็บเงินจากประชาชนเข้ากระเป๋านายทุนมากขึ้นหรือนานขึ้น โดยผู้มีอำนาจไม่ว่าจะคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่กำกับดูแล หรือหัวหน้าหน่วยงานราชการ ทำไมจึงยอมให้นายทุนหาผลประโยชน์จากประชาชนมากมายขนาดนี้
“สัมปทานคือสัญญา ในระหว่างสัญญาก็ควรปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา ซึ่งเมื่อหมดสัญญาแล้วก็ควรจบเลย กลับมาเป็นของรัฐแล้วคิดโครงสร้างราคาใหม่ที่สมเหตุสมผลมากขึ้น โดยหากจะให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการต่อก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรม อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ไม่ใช่ปิดห้องเจรจาลับแล้วหาเหตุขยายสัมปทานให้เจ้าเดิม หากรัฐบาลอยากลดราคาจริง โดยไม่แอบพ่วงโครงการ Double Deck ก็สามารถทำได้โดยปรับสัดส่วนการแบ่งรายได้ระหว่างรัฐกับเอกชน โดยไม่ต้องขยายสัมปทานแม้แต่ปีเดียว”
นายสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นประมาณกลางเดือนสิงหาคมนี้คือ รัฐบาลมีแผนที่จะนำเรื่องการขยายสัมปทานทางด่วนชั้นที่ 2 เข้าที่ประชุม ครม. อันจะเป็นอีกครั้งที่เกิดการเอื้อประโยชน์ครั้งใหญ่ให้นายทุน เป็นการหาสร้าง Double Deck เพื่อแลกกับการขยายสัมปทานออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ทั้งที่สัญญาสัมปทานปัจจุบันยังเหลืออีกถึง 11 ปี ทำให้สัมปทานลากยาวไปถึง 31 มีนาคม 2601 โดยไม่มีการแข่งขัน จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันจับตา รักษาผลประโยชน์ของประเทศ
สำหรับทางด่วนชั้นที่ 2 นั้น เมื่อพิจารณาถึงปัญหาตามแนวทางของรัฐบาลปัจจุบัน คำถามที่มีคือหากส่งมอบพื้นที่ไม่ได้ตามสัญญาจะเป็นอย่างไร ทุกวันนี้พื้นที่ใต้ทางด่วนบางส่วนเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย บางส่วนเป็นของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย มีสัญญาเช่าพื้นที่กับประชาชนและผู้ประกอบการอยู่ หากรีบเซ็นสัญญาแล้วคืนพื้นที่ไม่ได้ก็อาจเกิดเป็นค่าโง่หรือมูลเหตุในการขยายสัมปทานต่อไปในอนาคตอีก
นายสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาทางด่วนโดยเนื้อแท้คล้ายกับปัญหารถไฟฟ้า คือที่ผ่านมารัฐเอานายทุนผู้รับสัมปทานเป็นตัวตั้ง มองทางด่วนเป็นท่อนๆ ทำให้ประชาชนต้องจ่ายหลายท่อนแล้วรู้สึกแพง ถ้าจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องคิดเรื่องโครงสร้าง “ค่าผ่านทางร่วม” ซึ่งพรรคก้าวไกลเคยเสนอไปแล้วตอนยื่น พ.ร.บ.ถนน แต่ก็โดนรัฐบาลปัดตกไปอย่างไร้เหตุผล ดังนั้นเราต้องทวงคืนทางด่วน หมดสัมปทานต้องคืนรัฐ หากจะให้เอกชนร่วมดำเนินการ ก็ต้องเกิดการประมูลใหม่อย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เลิกหากินกับการปะผุปัญหาด้วยการหาเรื่องขยายสัมปทาน แต่ต้องร่วมกันแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
พร้อมกันนี้ พรรคก้าวไกล มีการเปิดทีมทำงานประเด็นระบบทางด่วนและรถไฟฟ้าในพื้นที่ กทม. เพิ่มเติมอีก 4 คน ได้แก่
(1) นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพฯ เขต 4 ติดตามโครงการก่อสร้างด่านขึ้นลงทางด่วน S1 ท่าเรือกรุงเทพ และการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะของ กทพ.
(2) นายภูริวรรธก์ ใจสําราญ สส.กรุงเทพฯ เขต 12 ติดตามประเด็นทางด่วนและการบริหารจัดการขนส่งสาธารณะ
(3) นายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 21 ติดตามประเด็นระบบขนส่งสาธารณะ การจัดการผังเมือง และตั๋วร่วมรถไฟฟ้า
(4) นายธัญธร ธนินวัฒนาธร สส.กรุงเทพฯ เขต 30 ติดตามการจัดทำข้อกำหนดของโครงการ งบประมาณระบบขนส่งสาธารณะ และค่าโดยสารร่วม