ร้อยเรียงกันไปสำหรับคดีการเมืองใหญ่ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยชี้ขาดเริ่มจากวันที่ 7 ส.ค.67 ยุบพรรค “ก้าวไกล”
ถัดไปอีก 1 สัปดาห์คือวันที่ 14 ส.ค.67 คดีนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ว่าขาดคุณสมบัติ
ก็คอยลุ้นกันว่าผลจะออกมาอย่างไร เพราะทุกคดีล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งนั้น
มาว่ากันเรื่องความเป็นไปทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังจาก กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง 200 สว. อย่างเป็นทางการไปแล้ว
การเปิดประชุมครั้งแรกมีการเลือกประธาน-รองประธานอีก 2 คน ปรากฏผลออกมาเป็นโผทุกอย่างไม่มีเฉกเฉไปเป็นอย่างอื่น
“มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา
“พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์” รองประธานคนที่ 1
“บุญส่ง น้อยโสภณ” รองประธานคนที่ 2
ทั้ง 3 คนคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นคือขาดลอยทุกคน อันบ่งบอกว่า สว.กลุ่มนี้มีเสียงสนับสนุนที่ชัดเจนและมั่นคง
พูดง่ายๆมีอิทธิพลสูงสุดทำนองนั้น!
ที่ชัดเจนตามมาคือเครือข่าย “สายสีน้ำเงิน” ที่ยึดกุมสภาสูงอย่างราบคาบ อันบ่งบอกว่า “ภูมิใจไทย” มีดุลอำนาจ
เปรียบกับ “เพื่อไทย” ที่มีอำนาจเหนือสภาล่างแต่ “ภูมิใจไทย” มีอำนาจเหนือสภาบน
เขาพูดกันว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญทำให้ “ภูมิใจไทย” อยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ทางการเมือง ที่เกื้อหนุนต่ออนาคตทางการเมืองอย่างชัดเจน
...
ที่มาซ้อนๆกัน ไหนๆอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” แล้วก็มีประเด็นแถมให้อีกคือ “กัญชา” ยาเสพติดที่กำลังเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่าง “ภูมิใจไทย” กับ “เพื่อไทย”
เอาให้ชัดๆก็คือนายกรัฐมนตรีกับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ประเด็นก็คือนายกรัฐมนตรีต้องการให้นำ “กัญชา” กลับขึ้นบัญชี “ยาเสพติด” ทำให้ “อนุทิน” ประกาศด้วยความไม่สบายใจว่า “พร้อมลงมติสวน”
เพราะนี่คือนโยบายของภูมิใจไทยที่เดินหน้ามาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว อันเป็นนโยบายหนึ่งที่หนุนส่งให้ได้ สส.เข้ามาเป็นอันดับที่ 3
จู่ๆนายกรัฐมนตรีมาหักกันอย่างนี้ยอมไม่ได้
นายกรัฐมนตรีได้ให้ “อนุทิน”-“สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีสาธารณสุข มาจับเข่าคุยเพื่อหาทางออก โดยนายกรัฐมนตรีชี้แนะว่าให้ยกเลิกขึ้นบัญชียาเสพติดแต่ให้ออก พ.ร.บ.มาควบคุมดีกว่า
“สมศักดิ์” คงจะงงไม่น้อยว่าทำไมนายกรัฐมนตรีจึงกลับลำอย่างนี้ เพราะสนองนโยบายเต็มที่จนประกาศไปแล้ว รอเพียง ป.ป.ส.ประชุมชี้ขาดเท่านั้น
จริงๆแล้ว “สมศักดิ์” คงไม่ได้ศึกษาให้ถี่ถ้วนแต่ต้องการสนองนโยบายเท่านั้น ไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรีที่คิดว่าจะนำเรื่องนี้หาเสียงสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง
แต่เมื่อรู้รายละเอียดแล้วว่า “กัญชา” นั้นต่างกับยาเสพติดทั่วไปอย่างยาบ้า เฮโรอีน ยาไอซ์ ที่เป็นยารักษาโรคต่างๆได้
ที่สำคัญมีคุณสมบัติต่างออกไปคือเสพแล้วไม่ติด เลิกได้ทันที ทำให้มีความสร้างสรรค์มีจินตนาการ บรรดาศิลปินจึงนิยมใช้ไม่ว่านักดนตรีหรือพวกทำงานด้านศิลป์อื่นๆ
ดังนั้น มีกฎหมายเพื่อใช้ควบคุมเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
หลายประเทศประกาศให้ใช้กัญชาอย่างเสรีได้ และไม่ได้สร้างปัญหาแก่ประชากรของเขาที่ใช้แนวทางนี้มานานแล้ว
นี่คือคำตอบว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงต้องกลับลำกลางทาง!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม