“เศรษฐา” สักการะศาลหลักเมือง ตระเวนทำบุญ 9 วัด ก่อนเข้าพรรษาเปิดงาน Financial Hub ชูไทยศูนย์กลางการเงินระดับโลก “ภูมิธรรม” พร้อมเติมร้านค้ารับดิจิทัลวอลเล็ต รีบปัดไม่คิดยกเลิกไร่ละพัน ยกปุ๋ยคนละครึ่งช่วยเกษตรกรลดต้นทุน ซัด สส.ที่ออกมาค้านไม่เข้าใจให้ถ่องแท้ ลั่นเดินหน้าต่อถึง พ.ค.2568 โอ่เคลียร์ใจ“เสี่ยหนู”ปมกัญชาไร้ปัญหา ฉุนใส่สื่อจี้ถามรอยร้าวในรัฐบาล “พีระพันธุ์” ฉะคนคนเดียวพลิกกลับไปกลับมา อนุบอร์ดข้าวถกเครียดก่อนยอมถอย ชง ครม.ทบทวนโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง “หมอเกศ” โผล่สภาฯปิดปากนิ่ง ถูกแพทยสภาสอบเชี่ยวชาญความงาม

หลัง สส.ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้าน ดาหน้าออกมาคัดค้านโครงการปุ๋ยคนละครึ่งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ รีบออกมาดับกระแส ยืนยันไม่ได้ยกเลิกโครงการชดเชยไร่ละ 1 พันบาท พร้อมตำหนิ สส.ที่ออกมาค้านว่าไม่เข้าใจโครงการอย่างถ่องแท้

“เศรษฐา” ตระเวนทำบุญเก้าวัด

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 19 ก.ค. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กราบสักการะศาลหลักเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล มีประชาชนที่มาสักการะศาลหลักเมืองขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ต่อมานายเศรษฐาทวีตภาพสักการะศาลหลักเมืองพร้อมข้อความระบุว่า “มาสักการะศาลหลักเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นการทำบุญก่อนวันเข้าพรรษา” ทั้งนี้นายเศรษฐาเคยมีดำริจะตระเวนทำบุญ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนหน้านี้เดินทางไปทำบุญมาแล้ว ได้แก่ วัดเครือวัลย์วรวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) วัดไตรมิตร วิทยารามวรวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร และล่าสุดที่ศาลหลักเมือง

...

ชูไทยศูนย์กลางการเงินระดับโลก

ต่อมาเวลา 13.30 น. ที่ห้องกำปั่นทอง กระทรวงการคลัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เป็นประธานแถลงเปิดตัวโครงการศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub) ภายใต้หัวข้อ Ignite Finance: Thailand’s Vision for a Global Financial Hub เปิดทางนำไทยสู่ศูนย์กลางการเงินโลก ที่กระทรวงการคลังจัดขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของ 8 อุตสาหกรรมหลัก มีเป้าหมายยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก นายเศรษฐาถือนโยบายนี้เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยที่ไม่ต้องใช้งบฯลงทุนและมีผลตอบแทนมหาศาล มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง และตัวแทนหน่วยงานต่างๆเข้าร่วม ขณะที่นายเศรษฐาร่วมหยอดเหรียญลงไปในแผนที่ประเทศไทย ก่อนที่จอด้านหลังจะปรากฏขึ้นเป็นภาพโลกที่มีสกุลเงินต่างๆ วิ่งออกมาจากแต่ละประเทศเข้าไปในประเทศไทย จากนั้นแผนที่ประเทศไทยสว่างและใหญ่ขึ้น เพื่อไทยจะกลายเป็น Hot Spot ด้านการเงินในระดับโลกต่อไป

พณ.พร้อมเติมร้านค้ารับเงินหมื่น

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาเพิ่มสินค้าเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (โครงการดิจิทัลวอลเล็ต) ว่า หลังประกาศนโยบายในวันที่ 24 ก.ค. กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการทันที การลงทะเบียนร้านค้าเราพร้อมอยู่แล้ว ทั้งร้านค้าของกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือของสมาคมผู้ค้าปลีกต่างๆ รวมถึงร้านค้าในหน่วยงานท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทย ประสานกระบวนการไว้หมดแล้ว เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีการพูดถึงเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์จะนับเป็นสินค้าต้องห้ามหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า อย่าไปเอาเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์มาเกี่ยวกับการค้าขาย เป็นเรื่องไกลเกิน เราชัดเจนว่าจะทำเรื่องสินค้าและการค้าขายให้ประชาชนกินดีอยู่ดีมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนอย่างอื่นจะมีอะไรเพิ่มมาอีกค่อยพิจารณาทีหลัง ขออย่าหยิบมาเป็นประเด็น

“อ้วน” รีบปัดไม่ได้ยกเลิกไร่ละพัน

นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงกรณี สส.พรรคร่วมรัฐบาลหลายคนคัดค้านโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง และเรียกร้องให้นำค่าชดเชยไร่ละ 1 พันบาทกลับมาว่า ต้องแยกเป็น 2 ประเด็น เรื่องการชดเชยไร่ละ 1 พันบาทยังมีอยู่ ไม่มีอะไรมาแทนอะไรได้ เพราะไร่ละ 1 พันบาท 20 ไร่ 2 หมื่นบาท เป็นมาตรการที่รัฐบาลเอาไว้ใช้แทรกแซงหรือช่วยเหลือเกษตรกรตอนที่ราคาข้าวตก ตราบใดที่เกษตรกรขาดทุนโครงการนี้ยังสามารถกลับมาใช้ได้ และถ้าเกษตรกรเสียหายมากกว่านี้ การช่วยเหลืออาจเพิ่มมากขึ้นได้ ยืนยันว่าโครงการนี้ยังไม่ได้ยกเลิก ส่วนเรื่องปุ๋ยคนละครึ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยื่นเรื่องมาที่ตนในฐานะกำกับดูแล คิดกันมานานแล้วว่าทำอย่างไรถึงจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะข้าวเราพยายามทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง การให้ปุ๋ยคนละครึ่งถือเป็นการลดต้นทุนการผลิต สำหรับเกษตรกรที่ไม่มีเงิน ได้ขอให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พิจารณาออกเงินกู้ให้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ถือเป็นเรื่องใหม่ที่จะมาช่วยลดต้นทุนการผลิต หากราคาพืชผลยังไม่ดีอีก เราต้องนำโครงการไร่ละ 1 พันบาทมาพิจารณา ยอมรับว่าเสียงทักท้วงยังมีอยู่ แต่เสียงที่สนับสนุนยังมีพอสมควร

ซัด สส.ค้านปุ๋ยคนละครึ่งไม่เข้าใจ

นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า เรื่องการใช้ปุ๋ยสามารถใช้ได้ตลอดทั้งปี เพราะมีทั้งข้าวนาปี นาปรัง เราพยายามจะให้ทันก่อนฤดูการผลิต แต่บังเอิญว่ายังติดขัดมี สส.หลายคน หลายพรรคที่ไม่เข้าใจและไม่ยอมไม่สะดวกใจที่จะให้ทำ ส่วนใหญ่ฟังจากเกษตรกรมา เพราะไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ เลยไม่มีการช่วยกันชี้แจงให้เกษตรกรเข้าใจ เชื่อว่าเรื่องนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่น่ามีปัญหา เพราะโครงการนี้ทำตั้งแต่ตอนนี้ถึงเดือน พ.ค.2568 ที่บอกว่าไม่ทันแล้วนั้น คงไม่น่าจะใช่ ยังใช้ได้อยู่ มีหลายคนเสนอให้ไปใช้กับพืชผักผลไม้ด้วยซ้ำไป แต่เราคิดว่าทำโปรเจกต์นี้ก่อน อยากฝากชาวนาและเกษตรกรว่าไม่ต้องกังวลใจเรื่องเงินชดเชยไร่ละ 1 พันบาท อยู่ที่ปัญหาและวิกฤติที่จะเกิดขึ้น รัฐบาลพร้อมช่วยเหลืออยู่แล้ว ปุ๋ยคนละครึ่งเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลจะนำมาช่วยลดต้นทุนการผลิตให้

เคลียร์ใจ “หนู” กัญชาไม่มีปัญหา

นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า จะโหวตค้านเรื่องการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (บอร์ด ป.ป.ส.) ว่า เรื่องกัญชาอยู่ที่ ป.ป.ส. คงต้องปล่อยให้ ป.ป.ส.ทำหน้าที่ ยกหูพูดคุยกับนายอนุทินบ่อย คุยกันตลอดในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล คิดว่าไม่มีปัญหา นายอนุทินสามารถแสดงความเห็นได้ แต่เรื่องเหล่านี้เราพยายามใช้เหตุใช้ผลให้มากที่สุด มากกว่าเป็นเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง เอาตามความเป็นจริง เอาความรู้สึกของชาวบ้านว่ามีเหตุผลหรือไม่ รวมถึงส่วนอื่น เรื่องนี้คุยกันมาต่อเนื่องตลอด ไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไร เป็นหน้าที่ร่วมกันที่ต้องช่วยกันหาทางออก

ฉุนสื่อจี้ถามรอยร้าวในรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมองว่าพรรคร่วมควรมีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ยังไม่ต้องพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องไปบอกว่าเราจะเอาอย่างนี้ เราอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยร่วมมือกัน รับผิดชอบร่วมกันในการแก้ปัญหา ฉะนั้นทุกอย่างที่มีปัญหาหรือมีประเด็นเกิดขึ้นเราต้องพูดคุยกันอยู่แล้ว เพราะพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเรื่องของรัฐบาลร่วมกัน เมื่อถามย้ำว่าทั้งเรื่องกัญชาและเรื่องปุ๋ยคนละครึ่งจะไม่สร้างความแตกแยกในรัฐบาลใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบน้ำเสียงขึงขังว่า “ก็บอกว่ามันไม่มีปัญหา แล้วมันจะไปกระทบความสัมพันธ์ได้อย่างไร ไม่มีกระทบหรอกครับ ทุกอย่างร่วมกันแล้ว และกำลังใช้เหตุผลในกระบวนการ ท่านจะมาบอกว่ามันกระทบกระเทือนได้อย่างไร ไม่ต้องไปคิดเรื่องที่ไกลเกิน เพราะถ้าคิดไกลเกิน บางทีก็ไม่เข้าใจกลายเป็นว่าคนนั้นพูดคนนี้พูด กลายเป็นปัญหา ขอความกรุณาครับ”

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

“พีระพันธุ์” โวยพวกกลับไปกลับมา

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (บอร์ด ป.ป.ส.) กล่าวว่าตามกำหนดที่จะมีการประชุมบอร์ด ป.ป.ส. ในเดือน ก.ค.นี้ ยังไม่ทราบว่าจะมีประเด็นการลงมตินำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติด ตามที่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษของกระทรวงสาธารณสุขมีมติมาแล้วหรือไม่ ยังไม่มีการหารือกันจะประชุมก็ต้องมาคุยกันก่อนว่าประชุมอะไรเรื่องอะไรยังไม่รู้เรื่องเลย เมื่อถามว่าเห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขจะนำเรื่องกัญชากลับเป็นยาเสพติดเข้าสู่ที่ประชุม นายพีระพันธุ์ตอบว่าไม่ทราบเรื่อง เมื่อถามว่าเรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล นายพีระพันธุ์ตอบว่าไม่ได้มอง ถ้ามีเรื่องมาก็ให้ ป.ป.ส.ชี้แจง เพราะคราวที่แล้วเขาให้เหตุผลเอากัญชาออกจากยาเสพติดทีนี้เอาเหตุผลอธิบายอย่างไร พูดไปพูดมาคนเดียวกันพูดคนละอย่างได้อย่างไร ต้องอธิบายให้ได้

อนุบอร์ดข้าวถกเครียดปุ๋ยคนละครึ่ง

ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต ถึงความคืบหน้าโครงการปุ๋ยคนละครึ่งว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.มีมติเห็นชอบหลักการโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 กระทรวงเกษตรฯ ได้รับทราบถึงข้อคิดเห็น ข้อสังเกตเพิ่มเติมเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จากภาคส่วนต่างๆ ทั้งจากเกษตรกรกลุ่มเกษตรกร องค์กรเอกชน และหน่วยงานราชการ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้พิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม จากการพิจารณาอย่างรอบด้านให้สอดคล้องกับสถานการณ์และช่วงเวลา ณ ปัจจุบันของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว พบว่าปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกข้าวและขึ้นทะเบียนเกษตรกร ปี 2567/68 กับกรมส่งเสริมการเกษตรไปแล้วจำนวน 2.91 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 39.60 ล้านไร่ คิดเป็น 63.23% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด เกษตรกรส่วนใหญ่ใส่ปุ๋ยในนาข้าวไปแล้ว

พบสหกรณ์ไม่ครอบคลุมทุก จว.

นายประยูรกล่าวอีกว่า ประกอบกับข้อมูลที่ได้รับจากเกษตรกรส่วนใหญ่ มีข้อจำกัดเรื่องเงินสมทบที่ต้องนำเข้าบัญชีธนาคาร ธ.ก.ส. ตามเงื่อนไขโครงการฯ รวมทั้งกลไกดำเนินงานโดยเฉพาะสหกรณ์ ที่ต้องทำหน้าที่เป็นจุดกระจายปุ๋ยสู่เกษตรกร พบว่าสหกรณ์ที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ไม่ครอบคลุมทุกจังหวัดและมีข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจปกติของสหกรณ์ในการจำหน่ายปุ๋ยของสหกรณ์เอง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเกษตรกรที่จะเสนอขอเข้าร่วมเป็นจุดกระจายปุ๋ยสู่เกษตรกร แต่ไม่มีกำหนดไว้ในแนวทางของคู่มือปฏิบัติ จึงไม่สามารถเข้าร่วมและดูแลสมาชิกกลุ่มเกษตรกรได้

ยอมถอยชง ครม.ทบทวนโครงการ

นายประยูรกล่าวว่า จากข้อจำกัดและข้อเสนอแนะที่ได้จากการประชุมข้างต้น ประกอบกับระยะเวลาเพาะปลูกข้าวที่ล่วงเลยมานานพอสมควร และเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างแท้จริงในฤดูเพาะปลูกปีถัดไป ที่ประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต จึงดำเนินการเสนอข้อคิดเห็นตามมติที่ประชุม เพื่อเร่งทบทวนโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในลำดับต่อไป

สรรเพชญ บุญญามณี
สรรเพชญ บุญญามณี

ปชป.เย้ยรัฐบาลบ้อท่าแก้ค่าไฟ

ด้านนายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่แพง ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น แม้รัฐบาลจะมีมาตรการตรึงค่าไฟอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย แต่เป็นแค่มาตรการชั่วคราวเหมือนตำข้าวสารกรอกหม้อ ประชาชนยังกังวลใจที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าอย่างยั่งยืนได้ เพราะไม่ได้แก้ที่ต้นตอปัญหา การตรึงราคาค่าไฟฟ้ายังสร้างภาระต้นทุนให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ที่ต้องแบกรับภาระแทนประชาชน สุดท้ายผู้ที่ต้องร่วมกันชดใช้เงินส่วนนี้คือประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน โดยไม่จำแนกว่ารวยหรือจน ต้องจ่ายค่าไฟเท่ากัน ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย ยังรอการแก้ไขกฎหมายตามที่ รมว.พลังงานระบุ แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้า และยังไม่เห็นภาวะผู้นำของนายกฯ ในการแก้ไขปัญหานี้

“ชูศักดิ์” ย้ำปมนิรโทษกรรมยุติแล้ว

วันเดียวกันที่รัฐสภา นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่า กมธ.ทำหน้าที่เพียงศึกษาหาแนวทาง ควรศึกษาครอบคลุมทุกเรื่องให้กว้างมากที่สุด ความผิดที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ตาม ป.อาญามาตรา 110 และมาตรา 112 กมธ.เห็นว่าควรเสนอความเห็นทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในรายงาน แต่ไม่ได้นำมาเป็นข้อยุติโหวตว่าใครชนะหรือใครแพ้ และมีความเห็นอีกส่วนว่าอาจใช้มาตรการนิรโทษกรรมโดยมีเงื่อนไข ส่งให้สภาฯพิจารณาทุกมิติให้ทันในสิ้นเดือน ก.ค. โดยไม่ต้องขยายเวลาอีก

พปชร.ค้านนิรโทษคดี 112 ทุกทาง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงว่า รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ให้แสดงจุดยืนที่พรรคมีมติคัดค้านการรวมคดีมาตรา 112 อยู่ในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เนื่องจากฝ่าฝืน บรรทัดฐานคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 เซาะกร่อน บ่อนทำลายฯ การนิรโทษให้ผู้กระทำผิดมาตรา 112 เป็นการออกกฎหมายที่ร้ายแรงมากกว่าการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ด้วยซ้ำ พล.อ.ประวิตรมีนโยบายชัดเจนที่จะปกป้องสถาบัน และกำชับให้ สส.พรรคลงมติไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ตกไปตั้งแต่วาระ 1 ทุกฉบับ เมื่อถามว่าหากพรรคการเมืองดึงดันที่จะให้นิรโทษรวมมาตรา 112 จะส่งผลเหมือนกรณีของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายไพบูลย์ตอบว่า พยายามย้ำประเด็นนี้ไปแล้ว ขอให้แต่ละพรรคไปตีความเอาเอง เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยอาจให้นิรโทษเพื่อจะได้รวมกรณีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เข้าไปด้วย นายไพบูลย์ตอบว่า ใครจะอย่างไรสุดแล้วแต่ พรรค พปชร.คัดค้านทุกวิถีทาง

ภท.เตือนคดี ม.112 ทำนิรโทษพัง

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่าความผิดตาม ป.อาญามาตรา 107 ถึงมาตรา 112 นั้นบัญญัติไว้ในหมวด 1 ลักษณะ 1 ภาค 2 เป็นความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มาตรา 110 และ 112 ไม่เหมือนกับความผิดอาญาทั่วไป จะทำให้กฎหมายนิรโทษกรรมโมฆะเพราะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 5 ค่อนข้างแน่นอน ทำให้ส่วนดีของกฎหมาย และเจตนาดีที่จะนิรโทษให้กับประชาชนที่มาชุมนุมตกไป แทนที่จะได้ลดความขัดแย้งลง กลับเพิ่มความขัดแย้ง เพราะนำมาตรา 110 และ 112 เข้าไปรวมด้วย ดังนั้น สิ่งที่สมควรทำคือ ให้ผู้กระทำผิดต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม พิสูจน์ว่าไม่มีเจตนากระทำผิดต่อพระมหากษัตริย์ โดยให้ได้รับสิทธิการประกันตัว ผลของคดีเป็นอย่างไร ยังมีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษต่อองค์พระมหากษัตริย์ ที่เป็นพระราชอำนาจของพระองค์โดยแท้

พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย
พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย

“หมอเกศ” โผล่สภาฯปิดปากนิ่ง

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.เดินทางเข้ามายังอาคารรัฐสภาฝั่งสภาผู้แทนราษฎร ผู้สื่อข่าวบังเอิญไปเจอ พญ.เกศกมล ที่ห้องอาหารชั้น 1 พยายามสอบถามว่ามีภารกิจอะไร มายื่นเอกสารอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ แต่ พญ.เกศกมลปฏิเสธทุกข้อซักถาม ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงความเห็นเรื่องแพทยสภาลงมติตั้งข้อกล่าวโทษกรณีอ้างเชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงามที่ไม่ผ่าน
การรับรอง มีคำชี้แจงอะไรหรือไม่ พญ.เกศกมลได้แต่ยิ้มและเดินผ่านไปขึ้นลิฟต์ที่บริเวณโถงด้านหน้าชั้น 1 โดยมีเจ้าหน้าที่สภาฯคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนที่ลิฟต์จะปิดว่า “มาพบผม” ผู้สื่อข่าวจึงถามว่ามาพบเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่คนนั้นตอบว่า “คุยเรื่องส่วนตัว”

“หมอเปรม” ไม่สุมหัวต่อรอง ปธ.วุฒิ

นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. กล่าวถึงกรณี สว.กว่า 30 คน นัดรวมกลุ่มหารือที่ย่านรัชดาภิเษกเมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 ก.ค.ว่า ได้รับเชิญเช่นกันแต่ไม่ไป สว.ยุคนี้ไม่ควรรวมกลุ่มเพื่อต่อรองตำแหน่งเช่นอดีต เรามาจากรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้กลุ่มอาชีพเข้ามาทำงาน ควรให้ผู้ที่ประสงค์จะเป็นประธานวุฒิสภาได้แสดงวิสัยทัศน์ในที่ประชุม ใครแสดงวิสัยทัศน์เหมาะสมมีคุณประโยชน์ ลงคะแนนเลือกเลย การลงมติต้องเป็นอิสระใครสั่งไม่ได้ เพราะลงคะแนนลับ เพื่อน สว.ทั้ง 200 คน อย่าไปกังวลเรื่องใบสั่ง จริงๆแล้วที่ต้องกังวลคือใบสั่งจากประชาชนที่อยากเห็นวุฒิสภาโปร่งใส เพื่อแก้ข้อครหากดดันจากภายนอก เช่น เป็นคนของมุ้งนั้นมุ้งนี้ สีนั้นสีนี้ ต้องช่วยกันลงคะแนนอย่างโปร่งใส ขจัดข้อกล่าวหาที่เข้ามาแบบบล็อกโหวตตั้งแต่ระดับอำเภอจะสลายหายไปแน่นอน แต่ถ้ายังบล็อกโหวตประธานวุฒิสภาอีกก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ ขนาด สว.ที่บอกว่าต้องปลอดจากพรรคการเมืองเรายังไม่เอา ยังให้พรรคการเมืองมาเป็นผู้กำหนดอีก จะไปหวังอะไรได้

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่