“เศรษฐา” มุ่งสางปัญหายาเสพติด นำทีมตำรวจลุยเมืองน่านประกาศนำร่องสิ้น ก.ย.จังหวัดสีขาวเมืองปลอดยาเยี่ยมสถานบำบัดปลอบขวัญผู้เสพคืนสู่อ้อมอกครอบครัว “จุลพันธ์” ยัน กมธ. งบฯแขวนงบแจกเงินดิจิทัลเรื่องปกติ ยอมรับเอกสาร ก.คลังน้อยจริง อ้าง “ปลัดคลัง” ติดภารกิจถกกับนายกฯ รองปลัดฯตัวแทนแจงไม่รู้เรื่องไร้ข้อมูล ก้าวไกลสะท้านตามเกมชิงนายก อบจ.ไม่ทัน ขอโทษชาวอยุธยาเฟ้นคนสมัครสานฝันไม่ได้ “ทักษิณ” เล่นไม้แข็งส่งทนายฟ้อง “หมอวรงค์” ปูดถุงขนม 2 พันล้านวิ่งคดี ม.112 ขณะที่แกนนำ กปปส.เฮ! ศาลอุทธรณ์แก้ลดโทษจำคุกคดีชัตดาวน์ กทม.-ล้มเลือกตั้งปี 57 เหลือปีกว่า เดินหน้ายื่นฎีกา ยันปลุกม็อบเจตนาดีต่อบ้านเมือง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังคงฟิตลงพื้นที่ไม่ลดละ ล่าสุดนำคณะบินไป จ.น่าน ขันนอตแก้ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติ ประกาศนำร่องเป็นจังหวัดสีขาวในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ขยายผลท่าวังผาโมเดลเป็นต้นแบบบูรณาการแก้ปัญหายาเสพติดทั้งระบบ

“เศรษฐา” เร่งสางปัญหายาเสพติด

...

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ที่ห้องรับรองนายกฯ ก่อนออกเดินทางไป จ.น่าน เพื่อรับฟังและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่แก้ปัญหายาเสพติด มี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ร่วมประชุม โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐรายงานว่า ผลปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศ วันที่ 27 มิ.ย. จับกุมเครือข่ายยาเสพติดได้ 845 เครือข่าย ผู้ต้องหา 1,617 ราย มูลค่ายึดทรัพย์กว่า 328 ล้านบาทจับกุมได้มากสุดที่ภูธรภาค 4 และภาค 9

โปรยยาหอมห่วงตำรวจงานหนัก

จากนั้นนายกฯได้มอบนโยบายให้กำลังใจข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศว่า ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเจ้าหน้าที่ทุกคนที่พยายามทำงานเร่งด่วน ต้องขอบคุณและเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกนาย และจากรายงานรู้สึกตกใจว่ายังมีการใช้อาวุธหนัก ดังนั้นขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนระวังความปลอดภัย แม้วันนี้เราจับกุมได้มากและทุกคนทำงานหนัก แต่ต้องยอมรับว่ายังไม่หมดสิ้นไป ยาบ้าราคายังไม่ขึ้นและมีความต้องการที่สูงอยู่ ขอให้มุ่งมั่นยกเป้าหมายให้สูงอีก ทำงานทุกวัน เน้นย้ำตามตะเข็บชายแดนที่เป็นจุดที่รั่วไหล ขอให้บูรณาการทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว หากขาดแคลนอุปกรณ์และกำลังคนให้บอกมา รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ขอให้ทำงานอย่างจริงจัง และมุ่งมั่นทำให้ปัญหานี้สำเร็จให้ได้ เพราะเป็นปัญหาใหญ่ตั้งแต่สมัยหาเสียง หลายคนน้ำตานองหน้าเพราะลูกหลานยังติดยาเสพติดจำนวนมาก เราต้องทำงานให้หนักตั้งเป้าให้ท้าทาย มากกว่านี้

ลุยสถานบำบัดปลุกกำลังใจผู้เสพ

ต่อมาเวลา 11.50 น. นายเศรษฐาเดินทางถึงท่าอากาศยานน่าน จ.น่าน มี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) รอให้การต้อนรับ โดยนายกฯใช้รถโตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน กค 8888 น่าน เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด มณฑลทหารบกที่ 38 (มทบ.38) ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2549 บำบัดไปแล้วกว่า 4,168 คน นายกฯได้สอบถามถึงปัญหาบุคลิกและงบประมาณ และเข้าไปพบกล่าวให้กำลังใจผู้เข้ารับการบำบัดว่า ขอให้ผู้บำบัดสู้ อาจจะลำบากหน่อย แต่ดีกว่าติดยา

ยก จ.น่านนำร่องจังหวัดสีขาว

ช่วงบ่าย นายกฯเดินทางไปรับฟังบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่เพื่อศึกษาต้นแบบการบูรณาการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ เยี่ยมให้กำลังใจผู้เข้ารับการบำบัด ที่วัดสุทธาราม อ.ท่าวังผา โดยนายกฯกล่าวกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครหมู่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ประชาชน และข้าราชการที่มาต้อนรับว่า วันนี้คิกออฟให้ จ.น่าน เป็นจังหวัดสีขาวนำร่องในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ขอชื่นชมเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำงานหนัก ไม่ใช่แค่จับกุมผู้ค้ายาอย่างเดียว แต่การบำบัด การยึดทรัพย์ การคืนผู้เสพกลับสู่อ้อมอกครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญเพื่อไม่ให้กลับมาเสพอีก เป็นหน้าที่ทุกคนที่จะขับเคลื่อนให้ยาเสพติดออกไปจากสังคมไทย ที่สำคัญทุกหน่วยงาน ทั้งฝ่ายปกครอง ความมั่นคง สาธารณสุขและท้องถิ่น ต้องประสานงานช่วยกัน สำหรับโครงการท่าวังผาโมเดลนั้น เป็นโครงการที่ครอบคลุมการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งระบบ และจะนำไปขยายผลใช้ในพื้นที่อื่นต่อไป

“จุลพันธ์” แจงยิบแขวนงบดิจิทัล

ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 กล่าวถึงกรณีที่ประชุม กมธ.ฯมีมติแขวนงบค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจในมาตรา 6 งบกลาง ที่จะใช้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไปเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ว่า คาดว่าน่าจะอีก 1-2 สัปดาห์ คงจะนำเรื่องกลับเข้ามาพิจารณาและไม่ต้องนำไปต่อท้ายวาระการพิจารณา ในข้อเท็จจริงไม่มีอะไร เป็นกระบวนการพิจารณางบตามปกติ คำว่า แขวน คือต้องนำกลับมาและเท่าที่เคยเป็น กมธ.งบฯมามีการแขวนแทบจะทุกครั้งเมื่อเอกสารไม่ครบถ้วน หรือมีเรื่องที่ค้างคาใจ

ยอมรับ “รองปลัดคลัง” ไม่รู้ข้อมูล

นายจุลพันธ์กล่าวว่า เมื่อดูในรายละเอียดของเอกสารแล้วพบว่า น้อยจริงๆมีเพียงแค่ 3-4 แผ่นเท่านั้น ในฐานะที่เป็น กมธ.มาหลายปี เป็นฝ่ายค้านหลายครั้ง จึงบอกให้กลับไปทำข้อมูลมาเพิ่ม บวกกับปลัดกระทรวงการคลัง ตัวแทนสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ที่มาชี้แจงติดภารกิจ เมื่อมาชี้แจงในภาพรวมเสร็จต้องไปพบนายกฯที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชุมเกี่ยวกับเรื่องของการค้า การลงทุน มอบหมายให้รองปลัดฯอยู่ชี้แจงแทน แต่รองปลัดฯไม่เคยเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการชุดใดเลย อาจจะทำให้ตอบคำถามลำบาก ประกอบกับเอกสารไม่ครบ ตนจึงบอกให้กลับไปรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดมาให้ครบ เพราะจริงๆข้อมูลมีครบแล้ว คำถามที่ กมธ.ฯถามมาเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยาก เมื่อนำกลับเข้ามาใน กมธ.ฯอีกครั้ง ไม่น่ามีปัญหาอะไร คงผ่านไปอย่างราบรื่น เพราะครั้งหน้าปลัดกระทรวงการคลังมาตอบเอง พร้อมกับข้อมูลที่ครบถ้วน

“ทักษิณ” ฟ้อง “หมอวรงค์” ปูดถุงขนม 2

ที่ศาลอาญา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นพ.วรงค์ เดชนุกรม ประธานพรรคไทยภักดี เป็นจำเลยฐานหมิ่นประมาท โดยนายวิญญัติกล่าวว่า รับมอบหมายให้มายื่นฟ้องจากการรวบรวมพยานหลักฐาน และวิเคราะห์จากสิ่งที่หมอวรงค์ได้โพสต์เฟซบุ๊กและติ๊กตอก รวมถึงปราศรัยที่เวทีชุมนุมสะพานชมัยมารุเชษฐ์ มีคำพูดที่เข้าข่ายความผิดตามฟ้อง รวม 5 กรรมต่างวาระ เป็นความผิดที่ค่อนข้างชัดเจนสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน กล่าวพาดพิงสื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าบุคคลที่พูดคือนายทักษิณ และพาดพิงถึงบุคคลในกระบวนการยุติธรรม มีเจตนาให้บุคคลเข้าใจว่านายทักษิณวิ่งเต้นคดีด้วยถุงขนม 2,000 ล้านบาท โดยฟ้อง 2 ข้อหา เรียกค่าเสียหายกรรมละ 20 ล้านบาท 5 กรรม รวม 100 ล้านบาท ศาลรับคำฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1961/2567 พร้อมนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 30 ก.ย.

จ้องฟ้องละเมิดข้อมูลส่วนตัวอีกคดี

นายวิญญัติกล่าวด้วยว่า แม้ข้อความที่หมอวรงค์ โพสต์หรือปราศรัยนั้นไม่เอ่ยชื่อของนายทักษิณ โดยตรง แต่ประชาชนทั่วไปรวมถึงสื่อมวลชนเมื่อได้ฟังและอ่านแล้ว เข้าใจได้ว่าคือนายทักษิณเพราะมีการระบุวันที่ว่าวันที่ 18 มิ.ย.2567 เป็นวันที่นายทักษิณต้องเดินทางขึ้นศาล และติดแฮชแท็กเอ่ยชื่อทักษิณ เพื่อเน้นย้ำและดึงดูดให้คนสืบค้นได้ง่าย การฟ้องครั้งนี้ไม่ใช่การฟ้องปิดปาก แต่เป็นการแสวงหาความจริงและความยุติธรรมให้กับนายทักษิณ ส่วนประเด็นที่มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เเต่ไปเอาข้อมูลเกี่ยวกับที่นั่งเครื่องบิน เเละรถรับส่งมาเผยเเพร่มีข้อความที่ไม่จริง อย่าลืมปัจจุบันมีกฎหมาย PDPA หากนำข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาเผยเเพร่มีความผิดตามกฎหมาย หากสืบได้ว่ามีนายตำรวจคนใดสั่งการให้ลูกน้องนำข้อมูลไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิดโดยไม่มีหมายศาลก็รอดูเลยว่า ผู้ถูกกระทำจะใช้สิทธิอย่างไร สามารถเเยกออกเป็นอีกคดีได้ คดีนี้ที่ฟ้องอยากให้หมอวรงค์ใช้สิทธิให้เต็มที่ในการเรียกหลักฐานมาแสดง หากพบว่าข้อมูลหลุดมาจากเจ้าหน้าที่รัฐเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่มิชอบต้องเตรียมรอรับผลเลย

“เทือก” นำขบวน 37 กปปส.ขึ้นศาล

ที่ศาลอาญา เวลา 10.00 น. นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. กับแกนนำ และแนวร่วมรวม 39 คน (เสียชีวิตไป 2 คน) เป็นจำเลยผิดฐานร่วมกันยุยงปลุกปั่น, กระทำให้ปรากฏด้วยวาจา หรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้าง กระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง สส.กรณีชุมนุมปิด กทม. ต่อเนื่องกันระหว่างวันที่ 23 พ.ย.2556-1 พ.ค.2557 เพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ (ขณะนั้น) โดยนายสุเทพ และจำเลยทั้ง 37 คน มาฟังคำพิพากษาตามนัด มีมวลชนกว่า 100 คน เดินทางมาให้กำลังใจ นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ตอนที่มีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งตนเองถูกสั่งจำคุก ก็ได้เข้าไปนอนเรือนจำ 2 คืนก่อนได้รับการประกันตัวออกมา หากคราวนี้ถูกสั่งจำคุกอีก ก็เตรียมเสื้อผ้า ชุดกางเกงขาสั้น มาไว้พร้อมแล้ว

ยกฟ้อง 19 รายแก้ลดโทษจำคุก

เมื่อถึงเวลานัด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษให้จำคุกนายสุเทพ จำเลยที่ 1 นายชุมพล จุลใส จำเลยที่ 3 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ จำเลยที่ 4 นายอิสสระ สมชัย จำเลยที่ 5 นายถาวร เสนเนียม จำเลยที่ 7 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จำเลยที่ 8 น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก จำเลยที่ 10 นายถนอม อ่อนเกตุพล จำเลยที่ 14 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ 15 นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือพุทธะอิสระ จำเลยที่ 16 นายสาธิต เซกัลป์ จำเลยที่ 17 เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ จำเลยที่ 24 นายคมสัน ทองศิริ จำเลยที่ 26 นายสาวิทย์ แก้วหวาน จำเลยที่ 29 นายอมร อมรรัตนานนท์ จำเลยที่ 34 นายกิตติชัย ใสสะอาด จำเลยที่ 37 ฐานยุยงปลุกปั่นฯ คนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา นอกจากนี้ จำเลยที่ 3, 5, 8, 16, 24, 33, 38 ผิดฐานขัดขวางการเลือกตั้งให้จำคุกคนละ 8 เดือน จำเลยที่ 10, 14, 17, 38 ผิดฐานขัดขวางเลือกตั้งจำคุกคนละ 8 เดือน แต่ให้รอลงอาญา รวมโทษจำคุกนายสุเทพ 1 ปี นายชุมพล 1 ปี 8 เดือน นายพุทธิพงษ์ 1 ปี นายอิสสระ 1 ปี 8 เดือน นายถาวร 1 ปี นายณัฎฐพล 1 ปี 8 เดือน นายสมศักดิ์ 1 ปี นายสุวิทย์ 1 ปี 8 เดือน เรือตรีแซมดิน 1 ปี 8 เดือน นายคมสัน 1 ปี นายสาวิทย์ 1 ปี จำคุกนายสำราญ รอดเพชร จำเลยที่ 33 เป็นเวลา 8 เดือน นายอมร 1 ปี นายกิตติชัย 1 ปี น.ส.อัญชะลี 1 ปี ปรับ 8,000 บาท รอลงอาญา นายถนอม 1 ปี ปรับ 8,000 บาท รอลงอาญา นายสาธิต 1 ปี รอลงอาญา ปรับ 8,000 บาท และนางทยา ทีปสุวรรณ จำเลยที่ 38 เวลา 8 เดือน ปรับ 13,333 บาท รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 19 คน ให้ยกฟ้อง ทั้งนี้ ศาลอนุญาตให้ประกันตัวนายสุเทพด้วยหลักทรัพย์ 8 แสนบาท และให้ประกันตัวทุกคน มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และให้ส่งหนังสือเดินทางมาให้ศาลยึด

เผยจำคุกไม่รอลงอาญารวม 14 คน

ภายหลังคำพิพากษา นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ เผยว่า ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษา มีรายละเอียดค่อนข้างมาก เเต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในข้อหากบฏ เเละก่อการร้ายพิพากษาลดโทษจำคุก นายสุเทพกับพวก ที่เดิมโดนตั้งเเต่ 4-9 ปีกว่าก็ลดกันมาเหลือคนละ 1 ปี-1 ปีเศษ โดยไม่รอลงอาญาทั้งหมด 14 คน เหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษเนื่องจากมองว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเหตุต่อเนื่องกัน ต่างจากศาลชั้นต้นที่มองเป็นการกระทำหลายกรรมโทษเลยสูง

ยันเจตนาดีต่อชาติขอสู้คดีชั้นฎีกา

ขณะที่นายสุเทพกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นกระบวนการที่เป็นไปตามดุลพินิจของศาล เราน้อมรับคำพิพากษาของศาล วันนี้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยเพิ่มขึ้นจากเดิม 12 คนเป็น 19 คน ส่งผลให้ครอบครัวของจำเลยมีความสุขไม่ต้องกังวล พวกเราที่ศาลจำคุกไม่รอลงอาญาจะสู้คดีต่อในชั้นศาลฎีกา เราเจตนาดีที่เราทำเพื่อประเทศชาติ เมื่อมั่นใจว่าทำความดี เราต้องรับผลที่ดี ส่วนในชั้นฎีกาจะขอให้ศาลรอการลงโทษหรือไม่ต้องไปปรึกษาทนายเพื่อต่อสู้คดีในชั้นฎีกาอีกครั้ง

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่