คดีที่ 40 สว.ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ยังอยู่ในศาล ไม่รู้จะตัดสินเมื่อไหร่ แต่ก็มีเสียงเรียกร้องคดีที่ 2 ในลักษณะคล้ายกัน จากนายสมชาย แสวงการ รักษาการ สว. สืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีให้แก้กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ ให้ต่างชาติเช่าที่ดินจาก 30 ปีเป็น 99 ปี

ทั้งยังจะให้ต่างชาติถือครองอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียมจาก 49% เป็น 75% นายสมชายฟันธงว่า เป็นนโยบายขายชาติ และเป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ น่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ตามรัฐธรรมนูญหลายมาตรา อาจเป็นความผิด พ.ร.ป.การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร้องให้ถอดถอนนายกฯได้

มีเสียงตอบโต้จากนายกรัฐมนตรีว่าในอดีตพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน เคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดก่อนว่า เป็นการขายชาติ ความเป็นจริงก็คือคราวนี้ ไม่มีการขายที่ดิน และไม่เกี่ยวกับการขายชาติ เป็นแต่เพียงว่ากระทรวงการคลังเสนอให้ศึกษาการเช่าที่ระยะยาว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน

แต่มีรายงานข่าวระบุว่าเรื่องนี้ มาจากการเสนอของสมาคมอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน เนื่องจากขณะนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติ และเนื่องจากนายกรัฐมนตรีเคยเป็นเจ้าของธุรกิจก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรรายใหญ่ จึงอาจถูกมองเป็นเรื่องประโยชน์ทับซ้อน

ถึงแม้ว่านายเศรษฐาจะประกาศว่า ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มอบธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรให้บุตรสาวแล้ว แต่สังคมทั่วไปก็อาจยังมองด้วยความสงสัย เพราะเป็นธุรกิจครอบครัว ที่อดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย เรียกว่า “ธุรกิจการเมือง” ซึ่งเป็นกิจการที่นักการเมืองรุ่นก่อนๆยึดถือและปฏิบัติจากรุ่นสู่รุ่น

การดำเนินธุรกิจกับการเมือง มักเป็นบ่อเกิดของการทุจริตที่เรียกว่า “การขัดกันแห่งผลประโยชน์” หรือ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาการปกครองประเทศให้เป็นประชาธิปไตย นักรัฐประหารบางคณะตราหน้าคณะรัฐบาลที่ถูกยึดอำนาจ เป็น “บุฟเฟต์คาบิเน็ต” เป็นข้ออ้างรัฐประหาร

...

เหตุใดพรรคก้าวไกลจึงชนะพรรคเพื่อไทยอย่างผิดความคาดหมายในการเลือกตั้ง 2566 และผลการสำรวจความเห็นประชาชนทุกครั้ง ในช่วงเวลาต่างๆพรรคก้าวไกลมีคะแนนนำโด่ง รวมทั้งคะแนนนิยมของผู้นำพรรค เหตุผลหนึ่ง เพราะพรรคเพื่อไทยยังมีภาพเก่าๆ เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเมือง ขณะที่พรรคก้าวไกลมีภาพการเมืองใหม่.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม