“ขัตติยา” เชื่อ ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ เป็นบันไดขั้นแรกสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ ด้าน “ชนินทร์” ตอกกลับก้าวไกล ด้อยค่า IGNITE THAILAND ย้ำ ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นตัวจุดชนวน กระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นอีกครั้ง
วันที่ 17 มิถุนายน 2567 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (18 มิถุนายน) ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่พรรคเพื่อไทยเสนอ จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมกับอีก 3 ร่าง คือ ร่างของคณะรัฐมนตรี ร่างของพรรคก้าวไกล และร่างของพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งหมด 4 ร่าง โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทย เตรียมอภิปรายสนับสนุนใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. ปรับการออกเสียงประชามติ ให้มาใช้ระบบเสียงข้างมากปกติ แต่ให้เกินเสียงของผู้ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิออกเสียง เพื่อความถูกต้องชอบธรรม จากเดิมที่ใช้การเสียงข้างมาก 2 ชั้น
2. การออกเสียงประชามติ สามารถทำได้วันเดียวกันกับวันเลือกตั้งทั่วไปหรือวันเลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อประหยัดงบประมาณ
3. สนับสนุนให้สามารถออกเสียงผ่านช่องทางไปรษณีย์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
...
ทั้งนี้ ความสำคัญของ พ.ร.บ.ประชามติ จะเป็นบันไดขั้นแรกที่นำพาคนไทยทุกคนไปสู่การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ร่างทั้ง 4 ฉบับ จากการศึกษาโดยละเอียดมีความไม่แตกต่างกันมาก โดยร่างของพรรคเพื่อไทย ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ที่จะบรรจุร่างเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นช่วงพอดีกับร่างของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พอดี เชื่อว่าจุดนี้จะเป็นก้าวแรกที่จะทำให้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ
ทางด้าน นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล โพสต์เนื้อหาในเชิงโจมตีด้อยค่าวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND พร้อมกล่าวหาว่าเป็น IGNORE THAILAND ว่า คงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะการ IGNORE THAILAND น่าจะหมายถึงการไม่เร่งรีบตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ และปล่อยให้ประเทศเกิดสุญญากาศไป 10 เดือนมากกว่า วิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นการผลักดันนโยบายกระตุ้นเม็ดเงินเข้าประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ โดยใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมที่สุด
ส่วนงบประมาณที่ใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 จะทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวน ที่จะกระตุกเศรษฐกิจประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง การใช้งบประมาณเพื่อนำเงินถึงมือประชาชน เกิดการจับจ่าย การจ้างงาน จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2-1.6% รัฐบาลจะได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี นอกจากจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เตรียมความพร้อมของประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประชาชนด้วย.