"นักวิชาการ" ร่วมเสวนาเรื่องฮัจญ์ เน้นเรื่องการสร้างเอกภาพมุสลิมทั่วโลก สะท้อนความเท่าเทียม ความอดทนอดกลั้นในความยากลำบาก พร้อมเรียกร้องโลกเป็นหนึ่งเดียวในการแก้ปัญหาปาเลสไตน์
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (15 มิ.ย.) ที่มัสยิดอัลฮูดา ตลิ่งชัน กทม. มีการเสวนาในหัวข้อ "ฮัจญ์ในอัลกุรอานและบทบาทเอกภาพในโลกมุสลิมสู่การสนับสนุนปาเลสไตน์" เนื่องในโอกาสเทศกาลฮัจญ์ ประจำปี ฮ.ศ.1445 มีผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายซัยยิดมะห์มูด ชาฮุซัยนี นักวิชาการอาวุโส และ ผศ.ดร.วิศรุต เลาะวิถี รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร โดย นายสมพร หลงจิ บรรณาธิการสำนักข่าว Mtoday เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมี นายมะห์ดี ฮูเซ็น อุปทูตอิหร่านประจำประเทศไทย เข้าร่วมด้วย และมีผู้เข้าร่วมรับฟังการเสวนาจำนวนหนึ่ง
เชคกุลามอะลี อะบอซัร อิหม่ามมัสยิดอัลฮูดา กล่าวว่า การเสวนาครั้งนี้เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ เกี่ยวกับความสำคัญของการประกอบพิธีฮัจญ์ของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก ที่เดินทางมารวมกันด้วยความเป็นเอกภาพ และเชื่อมโยงถึงบทบาทสู่ปาเลสไตน์ ที่เป็นเป็นปัญหาของโลกในขณะนี้
...
ผศ.ดร.วิศรุต เลาะวิถี กล่าวว่า การประกอบพิธีฮัจญ์ของพี่น้องมุสลิมจากทั่วโลกเดินทางมายังเมืองมักกะห์ในปีนี้ มีมุสลิมจากทั่วโลกเดินทางร่วมพิธี ประมาณ 1.6 ล้านคน มุสลิมไทยเดินทางเข้าร่วมประมาณ 7,700 คน ฮัจญ์เป็นการฝึกการอดทนอดกลั้น จากการคนที่จำนวนมากไปรวมตัวอยู่ในที่เดียวกันทุ่งมีนา ทุ่งอารอฟะห์ที่ร้อนระอุ มีเพียงเต็นท์กำบังต้องอยู่อย่างแออัด แต่ผลตอบแทนที่ได้รับ คือฮัจญ์ที่สมบูรณ์ พระเจ้าจะตอบแทนด้วยสวรรค์ และปกป้องจากความไม่ดีทั้งหลาย
"การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ของมุสลิมไทยถือว่า แพงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อก่อนหน่วยงานที่ดูแลกิจการฮัจญ์ สังกัดกรมการศาสนา ตอนย้ายมาสังกัดกระทรงมหาดไทย ก็หวังกันว่าจะทำให้ฮัจญ์ลดลง และคิดว่าเจ้าหน้าที่ของมหาดไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศ จะดูแลพี่น้องมุสลิมอย่างทั่วถึง แต่เอาเข้าจริงกองกิจการฮัจญ์ก็เป็นส่วนเกินของกระทรวงฯ ไม่มีเจ้าหน้าที่ทำงานจริงจัง มีการโอนเจ้าหน้าที่เข้ามาไม่ผ่าน ก.พ. การดูแลไม่เต็มที่ การที่คุณชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ออกมาพูดเรื่องเงิน 40 ล้าน และจะทำให้ฮัจญ์ถูกลงและการดูแลมุสลิมไทยดีขึ้นนั้น ก็หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น" ผศ.ดร.วิศรุต กล่าว
ด้าน นายซัยยิดมะห์มูด ชาฮุซัยนี มองว่า แม้การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ของมุสลิมทั่วโลก จะแสดงถึงความเป็นเอกภาพทุกคน ไปอยู่ร่วมกันโดยไม่แยกภาษา วัฒนธรรม เผ่าพันธุ์ แต่เมื่อมองไปยังปัญหาปาเลสไตน์แล้ว โลกอาหรับไม่มีความเป็นเอกภาพ มีเพียงอิหร่านที่ให้การช่วยเหลือปาเลสไตน์ แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะเลวร้ายมากก็ตาม สังคมมุสลิมจะต้องกดดันให้ประเทศมุสลิมมีเอกภาพในการเข้ามาปกป้องปาเลสไตน์
ขณะที่ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ เห็นว่า การที่โลกอาหรับไม่ให้ความสำคัญกับปาเลสไตน์มากเท่าที่ควรนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้อิสราเอลเคยทำสงครามกับประเทศอาหรับ อิสราเอลจึงต้องสร้างมิตรเพราะอยู่ไม่ได้หากแวดล้อมด้วยศัตรู อิสราเอลกับสหรัฐฯ จึงเข้ามาสร้างมิตรกับหลายประเทศ อาทิ ซาอุดีอาระเบีย เข้ามาตั้งฐานทัพ เมื่อมีปัญหาปาเลสไตน์กับอิสราเอล โลกอาหรับจึงอยู่กับสหรัฐฯ และอิสราเอลมากกว่า
ดร.ศราวุฒิ อารีย์ กล่าวต่อว่า อิสราเอลเป็นประเทศที่เชื่อกันว่า เป็นผู้ชนะเสมอ หลายประเทศจึงไม่กล้ามีปัญหา แต่สถานการณ์ 7 ต.ค. สะท้อนให้เห็นว่า อิสราเอลก็มีโอกาสที่เพลี่ยงพล้ำ ความเชื่อว่าอิสราเอลต้องชนะเสมอจึงค่อยๆ เสื่อมลง แต่สถานการณ์ในขณะนี้จึงไม่เหมือนเดิม จากเดิมที่อิสราเอลโจมตีปาเลสไตน์แล้วได้รับชัยชนะ แต่ตอนนี้มีเค้าลางว่าจะไม่ได้รับชัยชนะ อิสราเอลเคยติดหล่มสงครามในฉนวนกาซา จนต้องถอนกำลังออกในปี 2005 อิสราเอลอาจชนะกองกำลังที่เป็นรัฐ แต่ไม่เคยชนะกองกำลังที่ไม่ใช่รัฐ อย่างฮิซบอลเลาะห์ และฮามาส
"ตอนนี้อิสราเอลติดสงครามในฉนวนกาซาอีกครั้ง แม้ผ่านมา 8 เดือนก็ยังไม่สามารถเอาชนะฮามาสได้ ถูกฮิซบอลเลาะฮ์โจมตีเสียหายมาก ก็ยังไม่สามารถเข้าไปในเลบานอนเพื่อทำลายฮิซบอลเลาะฮ์ได้ ในขณะที่การเมืองระหว่างประเทศก็พ่ายแพ้ จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ เป็นสัญญาณว่า อิสราเอลกำลังจะแพ้สงคราม" ดร.ศราวุฒิ อารีย์ กล่าว
ด้าน นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นคนพุทธแต่อยู่กับพี่น้องมุสลิมมานาน เห็นว่าเรื่องการทำฮัจญ์เป็นการสะท้อนถึงจิตวิญญาณ ของการจงรักภักดีต่อพระเจ้า ในทางพุทธเหมือนการเข้าสู่นิพพาน ตอนอยู่ที่ จ.สงขลา หมู่บ้านมุสลิมที่ฐานะยากจน ตอนนั้นไปฮัจญ์ทางเรือ ไป 10 กลับมา 7 แม้จะไม่ได้กลับมา แต่หลายคนก็ดิ้นรนไป เป็นศรัทธาที่มั่นคงอย่างยิ่ง
ขณะที่ นายมะฮ์ดี ซาเรอ์ อุปทูตอิหร่านประจำประเทศไทย ได้อ่านสาส์นของผู้นำสูงสุดอิหร่านถึงผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ระบุว่า เสียงมนตร์เสน่ห์ของศาสดาอิบรอฮีมผู้ที่ได้รับพระบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า ในการเชิญชวนมนุษยชาติทุกยุคทุกสมัย ให้เข้ามายังกะบะฮ์เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ ที่หัวใจของชาวมุสลิมจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลก ได้ถูกดึงดูดให้เข้าสู่ฐานที่มั่นแห่งเตาฮีด และความเป็นเอกภาพ และยังสร้างปรากฏการณ์จากการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่ บนความหลากหลายของประชาชาติ ซ้ำยังได้พิสูจน์ให้ตนและทั้งโลกได้เห็นถึงพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ ของอิสลามจากการรวมตัวที่กว้างขวางของมนุษย์
"พวกท่านกำลังอยู่ในสนามทดสอบแห่งความจริง ที่เต็มไปด้วยความสว่างไสวแห่งความรู้ แนวคิดและการปฏิบัติของพวกท่านต้องให้เข้ามาใกล้และให้ใกล้มากยิ่งขึ้น พวกท่านต้องนำพาการฟื้นฟูอัตลักษณ์ ที่ผสมผสานกับแนวคิดที่สูงส่งเหล่านี้กลับไปยังบ้านของท่าน สิ่งนี้คือของฝากที่ทรงคุณค่าแห่งความจริง สำหรับการเดินทางประกอบพิธีฮัจญ์" อุปทูตอิหร่านประจำประเทศไทย กล่าว