ถ้าหากรัฐบาล คมช. ไม่บ้าจี้สั่งยกเลิกหวยบนดินเมื่อ 17 ปีที่ผ่านมา วันนี้หวยใต้ดินจะสูญพันธุ์อย่างถาวร คนไทยจะเลิกแทงหวยใต้ดิน หันไปซื้อหวยบนดินของรัฐบาล หวยบนดินจะสร้างรายได้ให้รัฐบาลนำไปใช้พัฒนาประเทศอย่างมโหฬาร

การสั่งยกเลิกหวยบนดินเมื่อ 17 ปีก่อน จึงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างฉกาจฉกรรจ์

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยที่รัฐบาลเศรษฐาจะปลุกผีหวยบนดินให้คืนชีพอีกครั้งในรูปแบบหวยเลข 3 หลัก หรือหวย 3 ตัว

เพื่อแย่งชิงลูกค้าหวยใต้ดินกว่า 20 ล้านคน ซึ่งสร้างรายได้ให้เจ้ามือหวยใต้ดินหลายแสนล้านบาทต่อปี

(โดยไม่ต้องเสียภาษีให้ประเทศแม้แต่บาทเดียว)

แถมรายได้จากหวยบนดินจะช่วยบรรเทาปัญหาถังแตกของรัฐบาลได้อย่างสบาย

เป็นน้ำซึมบ่อทรายกินไปได้ตลอดกาล

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าหวยบนดินเวอร์ชันปรับปรุงใหม่ที่รัฐบาลจะเข็นออกมาเปิดการขายตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้ จะมีลูกเล่นใหม่ๆที่ดึงดูดใจคอหวยชาวไทยมากกว่าหวยบนดินเวอร์ชันเดิม

เพราะเป็นหวยบนดินในระบบออนไลน์

โอนเงินถูกรางวัลเข้าบัญชีผู้ซื้อภายใน 2 ชั่วโมง!!

ลูกค้าเลือกแทงเบอร์ไหนก็ได้ตามความต้องการ

ตั้งแต่เบอร์ 000 จนถึงเบอร์ 999

หากชอบหลายเบอร์จะแทงหลายเบอร์ก็ไม่ผิดกติกา

อยากจะแทงเบอร์ไหนก็ได้ ไม่มีอั้นแบบหวยใต้ดิน

ไม่ต้องเสี่ยงโดนเจ้ามือชักดาบเหมือนหวยใต้ดิน

และไม่ต้องกลัวโดนตำรวจจับเหมือนแทงหวยใต้ดิน

อัตราจำหน่ายหวยบนดินกำหนดไว้ 20 บาทขึ้นไป

ออกรางวัลเดือนละ 2 งวดเหมือนเดิม

แต่คอหวยมีโอกาสลุ้นหวยบนดินได้ 4 รางวัล

คือรางวัล 3 ตัวตรง รางวัล 3 ตัวโต๊ด รางวัล 2 ตัวตรง

...

และ “รางวัลแจ็กพอต” ซึ่งจะสุ่มจากผู้ถูกรางวัล 3 ตัวตรง งวดละ 1 รางวัล

ใครดวงเฮงถูกรางวัลแจ็กพอตก็รวยฉ่ำกันไปเลย

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่าเงินรางวัลจะผันแปรไปตามยอดขายแต่ละงวด และผันแปรไปตามจำนวนผู้ถูกรางวัล

งวดไหนลูกค้าแทงถูกน้อยก็จ่ายมาก

งวดไหนลูกค้าแทงถูกมากก็จ่ายน้อย

แต่หวยบนดินจ่ายหนักกว่าหวยใต้ดินแน่นอน!!

เพราะ 60 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายหวยบนดินแต่ละงวดจะเอาไปจ่ายเป็นรางวัล

อีก 23 เปอร์เซ็นต์จะส่งเป็นรายได้รัฐบาล

และอีก 17 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าดำเนินการ

สมมติว่ายอดขายหวยบนดินงวดนี้เป็นเงิน 2,000 ล้านบาท

หักเอาไปจ่ายรางวัล 60 เปอร์เซ็นต์ คือ 1,200 ล้านบาท

ส่งเป็นรายได้รัฐบาล 23 เปอร์เซ็นต์ คือ 460 ล้านบาท

และเป็นค่าดำเนินการอีก 17 เปอร์เซ็นต์ คือ 340 ล้านบาท

ลุ้นหวยบนดินดีกว่าหวยใต้ดินนะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม