ท้องฟ้ามืดครึ้ม ชุ่มฉ่ำทั่วทุกภูมิภาค รับประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคมเป็นต้นไป และก็ท่วมทันทีเหมือนกัน กรุงเทพฯ ปริมณฑล เจอฝนต้นฤดูกระหน่ำไม่กี่อึดใจ เกิดสภาพน้ำขังรอระบาย ถนนหลักหลายสายกลายเป็นคลอง ต่างจังหวัด ชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี เจอน้ำป่าไหลหลากท่วมเมืองขนของหนีกันไม่ทัน

ปัญหาซ้ำๆ สภาพการณ์เดิมๆ ในช่วงหลายปีหลังๆที่ขาดการบริหารจัดการ

ท้าทายสัญญาณปรากฏการณ์ “ลานีญา” พายุฝนเปลี่ยนผ่านฤดู จ่อสลับมาแทนที่ “เอลนีโญ” ในวันที่ภาวะร้อนแล้งยังน่าห่วงหลายพื้นที่ สภาพอากาศโลกสุดขั้ว ไร้ความพอดี

เมืองไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไฟต์บังคับประชาชนต้องพร้อมเผชิญวิถีชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติปรวนแปร ไม่มีอะไรแน่นอน

ไม่ต้องหวังพึ่งฝ่ายบริหาร สภาพรัฐบาลลุ่มๆดอนๆ ติดหล่มการเมือง

สถานการณ์เรือเพิ่งยกเครื่องใหม่เผชิญคลื่นสึนามิไม่หยุดหย่อน อาฟเตอร์ช็อกต่อเนื่องนับตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ กดปุ่มปรับ ครม.ด้วยเหตุผลปรับฟอร์มทีมงาน ยกระดับการบริหารที่อืดเป็นเรือเกลือ

แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้าม แทนที่เรือจะพุ่งฉิวเดินหน้า กลายเป็นรัฐบาลเพื่อไทยต้องเครื่องสะดุดอย่างแรง จากอาการ “นอตหลุด” จุดไม่ปกติที่รัฐมนตรีลาออกติดๆ กัน 3 ราย ภายในเวลาไม่ถึงเดือน

สภาพเหมือนเรือเสี่ยงอับปาง ต้องไล่อุดรูรั่ว ปั่นป่วนวุ่นวาย

ไล่ตั้งแต่คิวของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ร่อนใบลาออกจาก รมว.ต่างประเทศ ไขก๊อกประชดที่โดนลดชั้นจากรองนายกฯ เหลือรัฐมนตรีเก้าอี้เดียว ต่อด้วยช็อตของนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ทิ้งเก้าอี้ รมช.คลัง เพราะอาการบาดหมางกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง ป้ายแดง

...

แรงเขย่าทำผู้นำรัฐบาลอย่างนายเศรษฐา ต้องเสียกระบวนท่า

แค่เสียหน้าพอทำเนา ไม่ได้เขย่าเก้าอี้นายกฯพลิกคว่ำพลิกหงาย แต่ที่เสี่ยงหกคะเมนตีลังกา กับคิวล่าสุดของนายพิชิต ชื่นบาน ที่จำใจต้องร่อนใบลาออกจาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ หลังนั่งได้แค่ 24 วัน

ตามอาการหนีอันตราย ชิงตัดไฟไม่ให้ลามไหม้

ในจังหวะไล่หลังจากที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้ลงนามเอกสารถึงศาลรัฐธรรมนูญ ส่งคำร้องของกลุ่ม 40 สว. ขอให้วินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

จากกรณีนายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบ บังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ

ทั้งๆที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายพิชิตเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

สัญญาณไฟแดงวาบ ชนวนอันตรายในระนาบ “ระเบิดซีโฟร์”

คิวของ “พิชิต” กระตุ้นพิษ “ถุงขนม 2 ล้าน” สั่นสะท้านไปถึงผู้นำอย่างนายเศรษฐา ที่โดนลากเข้ารัศมีดาบคมๆของศาลรัฐธรรมนูญ

เสี่ยงโดนเชือดโทษฐานขัดรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรม

ผู้นำมือใหม่ติดบ่วง “กรรมเก่า” ของ “ทนายประจำตระกูลชิน” ต้องออกแรงดิ้นกันเหนื่อย เพราะการไขก๊อกของนายพิชิตไม่มีผล สกัดไฟลามไม่อยู่

ดูเหมือนความผิดมันสำเร็จไปแล้ว ส่อสัญญาณ ผ่อนหนักเป็นเบาไม่ได้ ตามมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 ต่อ 3 เสียง มีคำสั่งรับคำร้องกลุ่ม 40 สว.ไว้พิจารณาวินิจฉัยประเด็นการสิ้นสุดลงของการดำรงตำแหน่งนายกฯ เฉพาะตัวของนายเศรษฐา

โดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไฟเขียวนายเศรษฐาไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

และกำหนดให้นายเศรษฐา ยื่นชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่รับสำเนาคำร้อง

ต้องลุ้นระทึก “นายกฯในตำแหน่ง” คงนอนไม่หลับนับจากนี้ไป

ผวาอาถรรพณ์ “เดจาวู” ซ้ำรอยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯผู้ล่วงลับ ที่โดนสอยตกเก้าอี้ เพราะคดีรับจ้างทำกับข้าวโชว์ออกรายการทีวี

เรื่องไม่น่าเป็นเรื่องยังเป็นเรื่องได้ แล้วเรื่องที่น่าเป็นเรื่องยิ่งขนหัวลุกกว่า

อารมณ์เหมือนขบวนการ “ลองของ” แถมยังไม่รู้สึกตัว อาการแบบที่นายพิชิตโวยวายลั่น โทษขบวนการโค่นเก้าอี้นายกฯ ด่าวงจรอุบาทว์จองเวรไม่เลิกรา

อ้างฝ่ายต่อต้านเตะเจาะยาง ทั้งๆที่เห็นกันอยู่ว่า “สะดุดขาตัวเอง”

อย่างที่รู้กัน ชื่อของนายพิชิต ติดโผหรามาตั้งแต่ ครม. “เศรษฐา 1” ถือตั๋ว “นายใหญ่” จองที่นั่งรัฐมนตรี แต่โดนชักออกไป เพราะโดนเสียงทักท้วงดังทั้งบ้านทั้งเมือง เรื่องความเหมาะสมของ “ทนายถุงขนม 2 ล้าน”

ก่อนจะโผล่มา ครม. “เศรษฐา 1/1” ทนายความคู่บารมี “นายใหญ่” ถือตั๋วเข้าป้ายเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ฝ่ากระแสโห่ฮา แหกด่านต้าน เสียงยี้ ไม่สนเสียงขู่ให้ระวังจะนำภัยมาถึงนายกรัฐมนตรี

เทียบเคียงกับกรณีของนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร ค่ายพลังประชารัฐ ที่ต้องหลุดโผ ครม.นาทีสุดท้าย เพราะติดปมคดีอาญาค้างเก่า เข้าข่ายหมิ่นเหม่เรื่องคุณสมบัติ นายเศรษฐาก็ตีกลับ ไม่เซ็นรับรองให้

มาตรฐานแตกต่างจากนายพิชิต ที่เคยติดคุกชัดเจน แต่ได้เป็นรัฐมนตรี

โบราณว่า “จิ้งจกทัก” ยังต้องฟัง แต่คนเตือนกันทั้งประเทศยังหูทวนลม

สรุปว่า “ดื้อ” ยื้อเอาจนได้ ในมุมของคุณสมบัติความเหมาะสม แม้สถานะมือกฎหมายของนายพิชิตพอไปวัดไปวา แต่เมื่อเทียบกับภาพขี้เหร่ในทางการเมือง มันเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ ตัดสินโดยสายตาสังคมภายนอกมองออกว่า เป็นการปูนบำเหน็จ

ตอบแทน “ทนายตระกูลชิน” ที่สู้แบบถวายหัวให้ “นายใหญ่” จนติดคุกติดตะราง มากกว่าเหตุผลอื่นใด

เซ่นพลังอำนาจ “จันทร์ส่องหล้า”

โชว์ให้เห็นความขลัง ตามวิถีประเพณีปฏิบัติของ “เถ้าแก่ใหญ่” ผลจากความเชื่อเก่าๆตามแบบฉบับของ “นายกฯในตำนาน” อย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้สร้างปัญหาใหม่ให้ “นายกฯในตำแหน่ง” อย่างนายเศรษฐา ต้องเผชิญวิบากกรรม

บั่นทอนความตั้งใจอยู่ครบเทอม 4 ปี ต้องติดด่านโหดหลังบริหารผ่านไปแค่ 8–9 เดือน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลำพังอาการพลิกคว่ำพลิกหงายของนายกฯ สถานการณ์เสี่ยงหกคะเมนตีลังกาของรัฐบาลผสมสูตรพิสดารพรรคเพื่อไทย

ในมุมของ “เถ้าแก่ใหญ่” น่าจะไม่อินังขังขอบเท่าไหร่ เพราะโดนมาจนช่ำชองแล้ว

สภาพการเมือง “ติดหล่ม” สำหรับยี่ห้อ “ทักษิณ” ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าไม่บังเอิญว่าสถานการณ์เลวร้ายมันส่งผลต่อสังคมในภาพกว้างอย่างรุนแรง

ปมพิษถุงขนม ซ้ำวิกฤติ ส่อลากเศรษฐกิจประเทศไทยตกเหวลึกดึงไม่ขึ้น

ตามตัวเลขน่าใจหาย อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำรวจการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2567 จีดีพีของไทย ต่ำเตี้ยเรี่ยราดอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่ำสุดในกลุ่มผู้นำอาเซียน ตามหลัง เวียดนาม ร้อยละ 11 มาเลเซีย ร้อยละ 4.2 สิงคโปร์ ร้อยละ 2.7 และอินโดนีเซีย ร้อยละ 1.7 เหนือกว่าแค่ เมียนมา กัมพูชา ลาว

อาการนั่งไม่ติดแบบที่นายเศรษฐา ต้องประกาศข้ามประเทศระหว่างเดินสายทัวร์ เยือนฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น ล็อกคิวเรียกประชุมด่วนรัฐมนตรีเศรษฐกิจนัดแรก ในวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคมนี้

ตัวเลขจีดีพีฟ้อง ปั่นยังไงก็ไม่ขึ้น สภาพเศรษฐกิจหักมุมกับฟอร์มของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เคลมตีกินเชิงบริหารมืออาชีพ เรือธง ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่น ยังคาราคาซัง ค่าแรง 400 บาท ก็ทำท่ายึกๆยักๆราคาพลังงาน น้ำมันดีเซล ไฟฟ้า อั้นไม่อยู่

“จุดขาย” เดียวที่เหลืออยู่มีปัญหา ประชาชนชักไม่มั่นใจฝากปากท้อง

“ผู้นำในตำแหน่ง” ต้องเร่งกระตุ้นฟอร์มบริหาร กู้สถานการณ์ความมั่นใจของนักลงทุนไปยันผู้บริโภค ให้เกิดแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจ อาการเครื่องยนต์หลักติดๆดับๆ เหลือพึ่งได้แค่ภาคการท่องเที่ยวที่มีช่วงไฮซีซัน โลว์ซีซัน ภาคการส่งออกก็ขึ้นๆลงๆ

เศรษฐกิจหล่นก้นเหว ถูกโยงติดกับการเมืองที่ “ติดหล่ม”

ในสภาพอำนาจซับซ้อน พลัง “จันทร์ส่องหล้า” ทาบทับทำเนียบรัฐบาล ปรากฏการณ์ที่อย่าว่าแต่คนนอก แม้แต่คนวงในรัฐบาลหรือลูกหาบพรรคเพื่อไทย ยังแยกไม่ออก “นายกฯ 2–3 คน”

อำนาจแท้จริงอยู่ที่ใคร ต้องฟังสัญญาณทางไหน

แล้วก็เป็น “นายกฯ ในตำนาน” ที่ทำให้ “นายกฯ ในตำแหน่ง” ต้องเสี่ยงพลิกคว่ำพลิกหงาย ชะตาแขวนไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจากปมตั้ง “ทนายถุงขนม 2 ล้าน” เป็นรัฐมนตรี

ฉุดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ บั่นทอนสถานะความมั่นคงทางการเมืองของนายเศรษฐา โงนเงนง่อนแง่นบนเก้าอี้ผู้นำ กระตุกจังหวะกระเพื่อมในรัฐบาลผสมสูตรพิสดารที่เกาะเกี่ยวกันหลวมๆ มีหวังป่วนหนัก

โยงไปถึงเกมเฉือนคม หักเหลี่ยม “ดีลลังกาวี”

สภาพอำนาจซ้อน ทำรัฐบาลสะดุดคะมำ.

“ทีมการเมือง”