ปกติวัตถุประสงค์ของการปรับ ครม. เมื่อบริหารไปได้สักระยะหนึ่ง เพื่อให้รัฐบาลกระฉับกระเฉงมุ่งหวังให้เกิดประสิทธิภาพของงาน อย่างหนึ่งก็คือ เอาคนที่ทำงานไม่ดีหรือคนมีปัญหาออกแล้วตั้งคนใหม่ที่มีความสามารถเข้าไปแทนที่ หรืออุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้น

ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ทำอย่างนี้

แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเกิดปัญหาหนักซ้ำเข้าไปอีก

พอประกาศชื่อรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการหมาดๆ ก็มีรัฐมนตรีประกาศลาออกไป 1 คน พอจะเริ่มทำงาน แค่แบ่งงานเท่านั้นก็ลาออกไปอีก 1 คน

เมื่องานเริ่มเดินไปข้างหน้าก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาอีกคราวนี้ถึงตัวนายกรัฐมนตรี ที่ต้องลุ้นว่าจะตกเก้าอี้ด้วยหรือไม่

เมื่อ 40 สว.ได้ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยกรณีที่มีรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติเพราะผิดจริยธรรมร้ายแรง

พ่วงเกี่ยวไปถึงนายกรัฐมนตรีที่ลงนามคำสั่งแต่งตั้งในฐานะผู้รับผิดชอบด้วย

เรื่องนี้คำร้องดังกล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว โดยศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณาว่าจะรับคำร้องนี้หรือไม่

หากรับคำร้องเบื้องต้น ก็ต้องดูว่าจะมีคำสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่ 2 คน คือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมาว่า เป็นไปตามคำร้องหรือไม่

ถ้าไม่รับคำร้องก็ถือว่า “ตกไป” แต่ถ้ารับคำร้องก็ต้องดูว่า ศาลจะมีคำสั่งอย่างไรต่อไป จะให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้าให้ยุติก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ รองนายกรัฐมนตรีเบอร์ 1 ปฏิบัติหน้าที่แทน

รอคำวินิจฉัยสุดท้ายว่าจะออกมาอย่างไร?

หากผลการวินิจฉัยออกมาว่ามีความผิดจริง นายกรัฐมนตรีก็ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที รัฐบาลชุดนี้ก็จบ

...

จากนั้นก็ต้องโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากรายชื่อ “แคนดิเดต” ของแต่ละพรรคที่ประกาศไว้แล้ว

เช่น เพื่อไทยก็มี “ชัยเกษม นิติสิริ”-“แพทองธาร ชินวัตร”-ภูมิใจไทยก็มี “อนุทิน ชาญวีรกูล”-พลังประชารัฐก็มี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”-รวมไทยสร้างชาติก็มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” และยังมีอีก 1 คนจากฝ่ายค้าน

“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”

พูดง่ายๆว่าไปเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่

แต่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งใหม่นี้ สว.ชุดใหม่ไม่มีสิทธิ เพราะหมดอำนาจไปแล้ว เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้มีอำนาจเพียง 5 ปีเท่านั้น

ถ้าไปถึงขั้นนี้คงทำให้การเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง แม้โอกาสที่ฝ่ายค้านจะสลัดขั้วเป็นรัฐบาลมีไม่มากนัก เพราะฝ่ายรัฐบาลคงจะจับมือกันต่อไป

แต่ในทางการเมืองอะไรก็ไม่แน่

นี่ไงที่ถามกันว่า ทำไม “บิ๊กป้อม” ยังคงไม่ลาจากการเมืองตามน้องๆ “2 ป.” ไป ก็เพราะทุกอย่างอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

แม้มันดูจะริบหรี่แต่ขึ้นชื่อว่าการเมือง อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม