“เศรษฐา” นำทีมเดินรันเวย์กลางเมือง มิลาน โชว์แฟชั่นผ้าขาวม้า อวดสายตาแบรนด์ดัง ดันดีไซเนอร์ไทยไปฝึกมืออิตาลี สนใจบริษัทกระเช้าเสนอตัวทำขึ้นภูกระดึง ยกทีมเยี่ยมชมโรงงานผลิตชีสชื่อดัง ข้องใจ 40 สว.ยื่นสอยพร้อม “พิชิต” ยังไม่หมดอายุอีกหรือ อ้างถามกฤษฎีกาแล้วมั่นใจรอด โควตา รมต.ยังเก็บไว้ให้ รทสช. สธ.-ยธ.จับมือนำผู้เสพนับแสนเข้าสู่ระบบบำบัด อย่าห่วงให้เบาะแสถึงผู้ขาย-ผู้ผลิต มีมาตรการ รปภ.ดูแล “เสรี” ไม่เห็นด้วย 40 สว.เข้าชื่อสอย “นายกฯ-พิชิต” กมธ.พัฒนาการเมืองมีแค่ “จเด็จ-วงศ์สยาม-ดิเรกฤทธิ์” ก.ก.พร้อมแจงสู้คดียุบพรรค ประเมินผลงาน 1 ปี “รัฐบาลเศรษฐา” สอบตก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังคงปฏิบัติภารกิจอยู่ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมืองแห่งแฟชั่น ล่าสุดนำคณะพากันสวมใส่ชุดที่ตัดเย็บจากผ้าขาวม้า เดินโชว์กลางเมืองมิลาน ให้เจ้าของแบรนด์ชาวอิตาลี และนักท่องเที่ยว ได้เห็นความสวยงามของผ้าขาวม้า หวังยกระดับผ้าไทยเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก

“เศรษฐา” ดันอบรมดีไซเนอร์ไทย

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 17 พ.ค. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองมิลาน ช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง) ที่ห้อง Galleria ชั้น 1 โรงแรม Park Hyatt Milan นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนาย Carlo Capasa, ประธานหอแฟชั่นอิตาลีแห่งชาติ (Chairman of the National Chamber of Italian Fashion) เป็นสมาคมที่ดำเนินการและรณรงค์เกี่ยวกับการพัฒนาแฟชั่นอิตาลี และเป็นผู้จัดสัปดาห์แฟชั่นเมืองมิลาน (Milan Fashion Week) 1 ในงานสัปดาห์แฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก (Big Four Fashion Weeks) โอกาสนี้นายเศรษฐาเสนอให้มีความร่วมมือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้แก่ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ชาวไทย เป็นลักษณะโปรแกรมฝึกอบรมที่อิตาลี จากนั้นพบหารือกับนาย Thomas Schubert, Export Director, Leitner ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับกระเช้าลอยฟ้า เป็นบริษัทย่อยของบริษัท High Technology Industries (HTI) ผู้นำด้านเทคโนโลยีกีฬาฤดูหนาว ที่สนใจลงทุนโครงการเคเบิลคาร์ในประเทศไทย ทั้งสองฝ่ายหารือเรื่องกระเช้าขึ้นภูกระดึง เพื่อพิจารณาร่วมมือกันต่อไป

...

ดึงนักลงทุนแคว้นลอมบาร์เดีย

ต่อมาเวลา 16.30 น. นายเศรษฐาพบหารือกับนายอัตตีลีโอ ฟอนตานา (Mr.Attilio Fontana) ผู้ว่าแคว้นลอมบาร์เดีย นายกฯชื่นชมแคว้นลอมบาร์เดียในฐานะเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวนมาก และมีจีดีพีสูงที่สุดในอิตาลี ไทยพร้อมร่วมมือโดยเฉพาะด้านการลงทุน นายกฯยังขอรับการสนับสนุนจากแคว้นลอมบาร์เดีย ในการผลักดันภาคเอกชนให้พิจารณาย้ายฐานการผลิต หรือเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสาขาการเกษตรอัจฉริยะ อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าที่ไทยมีศักยภาพและมีการลงทุน พร้อมรับการลงทุนจากภาคเอกชนอิตาลี ด้านพลังงานสะอาด พลังงานน้ำ แคว้นลอมบาร์เดียมีความเชี่ยวชาญ มีโรงงานผลิตพลังงานสะอาดจำนวนมาก ทางอิตาลีอาจพิจารณาตั้งสำนักงานระดับภูมิภาค(Regional Headquarters: RHQ) ในไทย

ชมห้าง Rinascente ดูสินค้าไทย

นายเศรษฐาและคณะ ยังเยี่ยมชมห้าง Rinascente สาขาเมืองมิลาน ห้างในเครือเซ็นทรัล นายเศรษฐากล่าวว่า ตั้งใจมาเยี่ยมชมบูธแบรนด์ Sirivannavari และบูธผลิตภัณฑ์ผ้าไทยที่จัดแสดงสินค้าอยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนที่วางขายในโครงการ “Thainess Station” สินค้าไทยร่วมใจเพื่อชุมชน ที่นี่มีสินค้าจากผ้าขาวม้าวางขายจำนวนมาก ทั้งกระเป๋า เสื้อ หมวก ฯลฯ ได้ยินว่าชาวต่างชาติสนใจมาก อดดีใจแทนพี่น้องคนไทยไม่ได้

เดินรันเวย์กลางมิลานโชว์ผ้าขาวม้า

ช่วงสายของวันที่ 18 พ.ค. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองมิลาน) ก่อนปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นทางการ นายเศรษฐาพร้อมคณะ พากันสวมใส่ชุดที่ตัดเย็บจากผ้าขาวม้า เดินโชว์กลางเมืองมิลาน เมืองแห่งแฟชั่น ให้เจ้าของแบรนด์ชาวอิตาลี และนักท่องเที่ยว ได้เห็นความสวยงามของผ้าขาวม้า ผ้าไทยที่สามารถตัดเย็บออกมาได้อย่างสวยงาม ไม่แพ้แบรนด์ชั้นนำของโลก สามารถใส่ได้ทุกโอกาส และต่อยอดได้อีกหลายผลิตภัณฑ์ เช่น กระเป๋า เข็มขัด เนกไท โบผูกผม

ปั้นผ้าย้อมครามสู่แบรนด์ระดับโลก

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการเยี่ยมชมโรงงานผลิตของห้องเสื้อ Zegna เมืองวาลดิลานา (Valdilana) และพบหารือกับนาย Gildo Zegna ผู้บริหารของห้องเสื้อ Zegna ว่า ห้องเสื้อ Zegna เป็นบริษัทชั้นนำด้านแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่ง มีชื่อเสียงทางด้านการทำผ้าที่เป็นที่นิยม ทั้งผ้าวูล (ผ้าขนสัตว์) แคชเมียร์ และผ้าฝ้าย ไม่ได้ทำแค่เฉพาะแบรนด์ตัวเอง แต่ยังส่งไปให้ Christian Dior, Hermès และ Louis Vuitton มีร้านในไทยที่สยามพารากอน กำลังจะเปิดสาขาใหม่ จึงเป็นที่มาว่าทำไมตนถึงต้องมาเจอ เขาเข้าใจตลาดไทยมีความผูกพันกับประเทศไทยพอสมควร ได้นำผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามจาก จ.สกลนคร มานำเสนอ ทางบริษัทจะส่งผู้เชี่ยวชาญไปสำรวจว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำผ้าย้อมครามมาผลิตภายใต้แบรนด์ของเขา กระจายไปทั่วโลกได้ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะอีก 2 สัปดาห์ทางบริษัทจะเดินทางไปประเทศไทย

เสนอแลกเปลี่ยนกันด้านแฟชั่น

นายเศรษฐากล่าวว่า ส่วนการหารือกับผู้บริหารของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก Loro Piana ที่ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ Zegna แต่เน้นหนักไปทางเสื้อผ้าฤดูหนาว เมื่อ 7 เดือนที่ผ่านมาได้เปิดร้านที่สยามพารากอน ประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย เขาชื่นชมว่าประเทศไทยมีความเข้าใจเรื่องแฟชั่น สามารถเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ได้ ทั้งเครื่องจักสานที่จะนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำกระเป๋า และผ้าย้อมครามจากโครงการดอนกอย จ.สกลนคร และการหารือกับ Carlo Capasa ประธานหอแฟชั่นอิตาลีแห่งชาติ น่าสนใจว่าจีดีพีของอิตาลีขึ้นอยู่กับแฟชั่น แบรนด์ต่างๆรวมตัวเป็นสมาคมแน่นแฟ้น มีการจัดนิทรรศการต่างๆเพื่อให้ความรู้ และเชื่อมโยงกับสถาบันสอนแฟชั่นของมิลาน พูดคุยกันว่าจะนำนักเรียนไทยด้านแฟชั่นมาศึกษาต่อที่นี่ ขณะเดียวกันจะมีการจัดแฟชั่นโชว์ระดับโลกที่เมืองไทย เอาดีไซเนอร์ทั้งที่มีชื่อเสียง และเป็นรุ่นต่อไปที่จะมีชื่อเสียงจากอิตาลีไปแสดงที่ไทย รวมถึงจัดให้มีการสอนหนังสือเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นที่ประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน

บ.กระเช้าเสนอตัวทำขึ้นภูกระดึง

นายเศรษฐายังกล่าวอีกว่า การพบหารือกับผู้บริหาร บริษัท Leitner (แล็กเนอร์) ทางบริษัทติดต่อเข้ามาเสนอขายกระเช้าลอยฟ้า ซึ่งใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดครบวงจร ที่น่าสนใจหากนับรวมเวลาในการขออนุญาตทางสิ่งแวดล้อม จะใช้เวลาสร้างกระเช้าลอยฟ้าเพียง 6 เดือน ที่สำคัญเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไทยกำลังให้ความสนใจสร้างกระเช้า ขึ้นอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ได้รับการประสานมาจาก สส.ในพื้นที่ว่าอยากดำเนินโครงการนี้ทางบริษัทจึงมาเสนอศึกษาว่าจะทำได้หรือไม่ เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดี สามารถเดินหน้าต่อไปได้ บริษัท Leitner มีแนวคิดจะทำธุรกิจในประเทศไทยมานานแล้ว เพราะประเทศไทยมีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติภูกระดึงถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ จ.เลย ถือเป็นเมืองรองที่รัฐบาลต้องการยกระดับ จึงมีแนวคิดอยากทำเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลการศึกษา ยอมรับว่าน่าสนใจและเชื่อว่าเรื่องนี้สามารถดำเนินการได้เร็ว

มั่นใจแจงได้ปมตั้ง “พิชิต”

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี สว.จำนวน 40 คนเข้าชื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังมีพฤติกรรมเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) และ (5) นายเศรษฐาย้อนถามว่า สว.ยังไม่หมดอายุใช่หรือไม่ ผู้สื่อข่าวชี้แจงว่ายังรักษาการอยู่ รอจนกว่าจะได้ สว.ชุดใหม่มา นายเศรษฐาถึงกับร้องอ๋อพร้อมตอบว่า “ผมคิดว่าท่านต้องทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะถือเป็นหน้าที่ของ สว. ส่วนตัวต้องพิสูจน์เรื่องที่ทำไปว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย เคยบอกไปแล้วก่อนจะแต่งตั้ง ได้มีการสอบถามไปทางคณะกรรมการกฤษฎีกา ผมมั่นใจว่าจะตอบคำถามได้ เพราะอยู่บนหลักการความถูกต้อง เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ”

ยันไม่เคยเมินฟังทุกเสียงทักท้วง

เมื่อถามว่า สว.ที่ร่วมเข้าชื่อระบุว่านายกฯเมินเสียงคัดค้านการแต่งตั้งนายพิชิต นายเศรษฐาตอบว่า การแต่งตั้งรัฐมนตรีไม่ได้ถามทางกฤษฎีกาในทุกกรณีไป แต่กรณีนายพิชิตยืนยันไม่ได้เมิน และพิจารณากับทุกเสียงที่ท้วงติงเข้ามา ตรงนี้มั่นใจ กรณีของนายพิชิตได้ถามทางกฤษฎีกาไปโดยเฉพาะเลย เป็นเรื่องที่สมควรต้องทำอยู่แล้ว ยืนยันไม่เคยเมินเสียงคัดค้าน และไม่เคยไม่ให้ความสำคัญ หรือไม่รับฟังเสียงท้วงติง เพราะพูดมาเสมอว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ

โควตา รมต.ยังเก็บไว้ให้ รทสช.

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ยังว่างในสัดส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายกฯตอบว่า ยังเก็บไว้ให้พรรค รทสช. แต่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค รทสช. ยังไม่ติดต่อมา หากเสนอมาต้องพูดคุยกัน เมื่อถามว่าโควตาดังกล่าวยังคงเป็นกระทรวงเดิมใช่หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ยังไม่ได้พูดคุย แต่เราอยู่ด้วยกันต้องรับฟังความคิดเห็นกันก่อน โดยเฉพาะความเห็นจากพรรค รทสช. ว่าท่านอยากได้อะไรหรือมีความคิดอย่างไร เชื่อว่าทั้งตนและนายพีระพันธุ์ มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน แต่หากไปกระทบกับพรรคอื่นก็ต้องพูดคุยกันในวงกว้างขึ้นเท่านั้นเอง

ชมโรงงานผลิตชีส BONI S.p.A.

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายเศรษฐา นำคณะเยี่ยมชมกระบวนการผลิตชีสของบริษัท BONI S.p.A. เมืองปาร์มา บริษัทผู้นำในการผลิตชีส Parmigiano Reggiano และการเก็บรักษาชีส Grana Padano โดยโรงงานของบริษัท (เนื้อที่ 80,000 ตร.ม.) สามารถผลิตชีส Parmigiano Reggiano ได้ประมาณ 125,000 ชิ้นต่อปี จำหน่ายชีสทั้งสองประเภทได้ไม่ต่ำกว่า 19,000 ตันต่อปี และโรงงานมีประสิทธิภาพในการผลิตและเก็บรักษาชีสได้ประมาณ 500,000 ชิ้นต่อปี มีกำลังการผลิต 300 wheels ต่อวัน ใช้นม 1,200 ลิตรต่อ 1 wheel เก็บชีสไว้ 1-5 ปี อิตาลีถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและแปรรูปอาหารรายใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป สินค้าอิตาลีจำนวนมากมีชื่อเสียงไปทั่วโลก รวมถึงพาร์มาแฮม (Parma Ham) และชีส ในปี 2566 ไทยนำเข้าเนยแข็งหลายชนิดจากอิตาลี (7.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) นายเศรษฐากล่าวว่า หวังว่าจะเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ และความร่วมมือนวัตกรรมด้านการผลิตสินค้าอาหารแปรรูป อาจนำองค์ความรู้ที่ได้มาเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มมูลค่าการผลิตให้คนไทยได้ทาน

โอ่ใส่ผ้าไทยดูอินเตอร์ไม่อายใคร

จากนั้นนายเศรษฐาให้สัมภาษณ์อีกครั้งกรณีนำคณะสวมชุดผ้าขาวม้าเดินกลางเมืองมิลานว่า มองว่าดูอินเตอร์ไม่ได้อายใคร เสื้อที่ใส่ออกมาก็ดูสวยงามอย่างที่ทุกคนเห็น ถือเป็นไอเดียในการแปรรูปสินค้าทำให้ราคาสูงขึ้นไม่ใช่ขายเพียงแค่ผ้าเฉยๆ เมื่อถามว่าการเยือนต่างประเทศหรือไปประชุมครั้งถัดไป จะนำผ้าขาวม้าไปโปรโมตลักษณะนี้อีกหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ต้องขออุบไว้ก่อน แต่ละพื้นที่มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่สิ่งเหล่านี้อยู่ในแผนและอยู่ในใจที่อยากสนับสนุนให้สินค้าพื้นเมืองดีขึ้น เมื่อถามว่ามีแผนนำผ้าไทยมาทำเป็นแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์เพื่อขายในระดับโลกอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรีตอบว่า พยายามอยู่ เรื่องพวกนี้เราเร่งไม่ได้ อยู่ดีๆของไม่เคยถูกนำมาฉายในเวทีโลก จะมีความคาดหวังให้ไปได้เร็วไม่ได้ ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป จะยั่งยืนกว่า ต้องมีการพัฒนาคุณภาพ

เฮตรวจสอบข้าวไร้สารปนเปื้อน

นายเศรษฐายังกล่าวถึงผลตรวจสอบตัวอย่างข้าว 10 ปี ที่ส่งตรวจห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ไม่พบสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง (อะฟลาท็อกซิน) และไม่มีสารปนเปื้อนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการบริโภคว่า ในฐานะที่เราเป็นผู้ขาย หากผู้ซื้อต้องการตรวจสอบเราก็พร้อม ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีข้าวยังไม่เสีย และไม่มีสารปนเปื้อน สามารถทำราคาขึ้นได้ เมื่อถามว่าผลวิจัยออกมาเช่นนี้ถือเป็นการขจัดข้อสงสัยใช่หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า หวังจะเป็นเช่นนั้นถ้าไม่มีอคติ เมื่อคนกลางเข้ามาพิสูจน์แล้วว่าไม่มีเชื้ออะฟลาท็อกซิน น่าจะขายได้ในราคาที่เหมาะสม ตามกลไกตลาด เมื่อถามว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ รายงานหรือไม่ว่าจะเปิดประมูลได้เมื่อไหร่ นายกฯตอบว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับขั้นตอน ขั้นแรกต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าไม่มีสารอะฟลาท็อกซิน เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์เร่งขายอยู่แล้ว

นำผู้เสพนับแสนเข้าระบบบำบัด

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข พร้อม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ร่วมประชุมหารือแนวทางการจัดการผู้เสพยาเสพติดที่ศาลสั่งคุมประพฤติตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายยาเสพติด นายสมศักดิ์แถลงหลังประชุมว่า ที่ประชุมหารือกรณีผู้เสพยาเสพติดที่ศาลสั่งคุมประพฤติแล้วอยู่ในชุมชนโดยขาดการบำบัดกว่า 1 แสนราย เป็นปัญหาคาราคาซังจากช่องว่างกฎหมาย 3-4 ปี จึงหารือร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะผู้ว่าราชการทุกจังหวัด นำคนกลุ่มดังกล่าวเข้ารับการบำบัดกว่า 1 แสนรายนี้ไม่ได้เป็นผู้ป่วยที่มีอาการระดับรุนแรงถึงขั้นสีแดง หรือสีส้มทั้งหมด จะมีการคัดกรองและคาดว่าการบำบัดของระบบสาธารณสุขมีทั้งสถานพยาบาล ธัญญารักษ์ หรือมินิธัญญารักษ์ ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวจะใช้การบำบัดโดยสังคม ต้องทำให้ได้ผลภายใน 3 เดือน หรือ 90 วัน

อย่าห่วงมีมาตรการ รปภ.ดูแลอยู่

นายสมศักดิ์กล่าวถึงกรณีการปรับแก้ไขกฎกระทรวง กำหนดการครอบครองยาบ้าเพื่อเสพไม่เกิน 1 เม็ด ตามไอเดียที่ว่า 1 ผู้เสพ ขยายผล 1 ผู้ขาย และขยายต่อเป็น 1 ผู้ผลิตว่า ผู้เสพ 1 เม็ดถ้าสมัครใจบำบัดรักษา ก็ไม่ต้องขึ้นศาล แต่ต้องบอกให้ได้ว่าซื้อยามาจากใคร เพราะกฎหมายระบุถึงการสอบสวนเชิงลึกในรายละเอียด ตำรวจต้องไปดำเนินคดีกับผู้ค้าและคำนวณรายได้ และยึดทรัพย์ตามกฎหมาย ต้องผ่านการพิจารณาของศาลก่อน ตรงนี้จะสามารถจับได้ถึงกระบวนการขายและผลิต ได้คุยกับเลขาธิการ ป.ป.ส.แล้ว เป็นไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ส่วนเรื่องความปลอดภัยต่อครอบครัวผู้เสพที่บอกแหล่งขาย มีกระบวนการปกป้องความปลอดภัย ระบบ ป.ป.ส.มีบล็อกเชนอยู่ อีกอย่างการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ใช่มีแต่ผู้เสพ ยังมีการตรวจสอบอื่นด้วย

ปิดช่องโหว่เพิ่มเงื่อนไขบำบัด

พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า ในอดีตมีกฎหมายกำหนดให้นำผู้เสพเข้ารับการบำบัด แต่ประมวลกฎหมายยาเสพติด กำหนดให้ศาลสั่งบำบัดต้องเป็นผู้สมัครใจ และมีทางเลือกสั่งคุมประพฤติแทน จึงเป็นช่องโหว่และส่งผลเป็นปัญหาในชุมชน ได้หารือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำกลุ่มที่คุมประพฤติที่ผ่านการคัดกรอง เข้ารับการบำบัด ขณะเดียวกันเพื่อปิดช่องโหว่ จึงให้กรมคุมประพฤติขอให้ศาลเพิ่มเงื่อนไขในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 (4) ให้นำตัวเข้าระบบการบำบัด เบื้องต้นคือผู้ถูกคุมประพฤติเดิม 1 แสนคน

“เสรี” ปัดลงชื่อสอย “เศรษฐา-พิชิต”

วันเดียวกัน นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวถึงกรณี สว. 40 คน ร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ว่าด้วยมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงว่า ไม่ได้ร่วมลงชื่อกรณีดังกล่าว เพราะเห็นว่าเนื้อหาที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนายเศรษฐาไม่มีเหตุนำไปสู่การยื่นวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ การเสนอชื่อนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี แม้จะมีประเด็นเรื่องคุณสมบัติที่มีปัญหา แต่ในแง่มุมกฎหมายยังไม่มีองค์กรใดวินิจฉัยชี้ขาด ไม่ทราบเจตนาคนที่ให้ข่าวสื่อมวลชนว่าเป็น 1 ในผู้ร่วมลงชื่อ ทั้งที่ไม่ได้ลงชื่อด้วย และไม่เห็นด้วยกับรายละเอียดทั้งหมด ไม่รู้คนให้ข่าวต้องการหรือหวังผลอะไร ควรประกาศชื่อ สว.ที่ร่วมลงชื่อให้ชัดเจน ไม่ใช่ให้สังคมเดาไปต่างๆนานา การเหมารวมว่าเป็น กมธ.พัฒนาการเมือง ที่ตนเป็นประธาน อ้างเป็นผู้เคยตั้งต้นขอเปิดประชุมวุฒิสภาเพื่ออภิปรายทั่วไปรัฐบาล ทั้งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ใน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ มีคนร่วมลงชื่อ 3 คน คือ นายจเด็จ อินสว่าง ว่าที่ ร.ต.วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส่วนคนอื่นใน กมธ.ไม่มีใครเห็นด้วย

กก.รอแจงแนวทางสู้คดียุบพรรค

อีกเรื่อง นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลายื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาคดียุบพรรค ฐานกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นครั้งที่ 3 ไปอีก 15 วันว่า ได้ตรวจดูคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาให้อีก ทำให้มีเวลาทบทวนให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้ การขยายให้อีก 15 วัน น่าจะเพียงพอแล้ว ช่วงต้นเดือน มิ.ย.จะครบกำหนดการยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากยื่นอย่างเป็นทางการไปแล้ว จะแถลงต่อสาธารณะอธิบายประเด็นข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลให้ประชาชนรับทราบ จากนั้นต้องรอดูศาลจะอนุญาตให้ไต่สวนหรือไม่ จะเรียกพยานมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อศาลหรือไม่ แม้ก่อนหน้านี้จะมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้พรรคยุติการกระทำ แต่ไม่ใช่ว่าจะพิจารณายุบพรรคได้อัตโนมัติ เป็นคนละคดี คนละกฎหมาย การพิจารณาให้ยุติการกระทำ กับการพิจารณายุบพรรค มีรายละเอียดข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงไม่เหมือนกัน เป็นหนึ่งในข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลที่มีเหตุผล แต่ผลคำวินิจฉัยศาลจะออกมาอย่างไร พรรคก้าวไกลต้องเตรียมรับทุกสถานการณ์

ประกาศลั่นพร้อมเป็นรัฐบาล

นายชัยธวัชยังกล่าวถึงการจัดกิจกรรม “Policy Fest ครั้งที่ 1 ก้าวไกลบิ๊กแบง” วันที่ 19 พ.ค.ว่า เป็นกิจกรรมวางเป้าหมายการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก แม้เป็นฝ่ายค้าน แต่งานสำคัญมากๆคือเตรียมพร้อมเป็นรัฐบาลบริหารประเทศหลังจากนี้ จะยกระดับการทำงานเชิงนโยบายเข้มข้นมากขึ้น ลงรายละเอียดให้พรรคมีความพร้อมบริหารประเทศในระดับปฏิบัติให้ได้เมื่อประชาชนไว้วางใจ ส่วนการจัดงานของพรรคก้าวไกล ไม่ใช่การตอบโต้พรรคเพื่อไทย แต่เป็นงานที่พรรคก้าวไกลกำหนดไว้นานแล้ว เลื่อนไปล่าช้ากว่าเดิมที่ควรจะเป็น เพราะติดจังหวะเวลาเรื่องคดีในศาลรัฐธรรมนูญ เลื่อนมาหลายครั้งเดิมตั้งใจจะจัดใหญ่กว่านี้ใช้เวลา 2-3 วัน เมื่อเลื่อนไปเลื่อนมา จึงย่อขนาดลง เป็นการคิกออฟการทำงานนโยบายอย่างจริงจังของพรรคหลังจากนี้

ประเมินผล 1 ปี รัฐบาลสอบตก

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า ส่วนการประเมินการทำงานของรัฐบาลหลังผ่านการเลือกตั้งมา 1 ปี ในสายตาพรรคฝ่ายค้านและประชาชนที่จับสัญญาณความรู้สึกโดยทั่วไป ประชาชนคาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองจากรัฐบาลชุดใหม่ แต่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้ยังสอบไม่ผ่าน เป็นโจทย์สำคัญว่าหลังจากนี้ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ชัดเจนเป็นรูปธรรม รัฐบาลจะนำพาประเทศไปทางไหน มียุทธศาสตร์มีโรดแม็ปอย่างไร รัฐบาลต้องพยายามมากกว่านี้ เมื่อจุดเริ่มต้นของรัฐบาลมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางการเมือง ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อความน่าเชื่อถือ และเป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลต้องทำงานหนักขึ้น

“พงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว” ไขก๊อก รทสช.

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หลังนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ และนายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรค รทสช. ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พ.ค.นายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี โพสต์ลงโซเชียล เป็นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค รทสช. มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. พร้อมระบุข้อความว่า “สุราษฎร์ต้องก้าวต่อไป” ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งในภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2566 คาดการณ์ว่าจะไปลงเลือกตั้งนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่