ยังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่จบ กรณี คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ พาผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบข้าวเก่า 150,000 กระสอบ ที่โกดังจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นข้าวจาก โครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คุณภูมิธรรม ให้เจ้าหน้าที่นำข้าวในโกดังมาซาวน้ำหุงต่อหน้าผู้สื่อข่าว และโชว์กินกับผัดกะเพรา ออกทีวีไปทั่วประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ข้าวที่เก็บสต๊อกไว้ในโกดังมานานถึง 10 ปี ยังกินได้ และบอกว่าอร่อยด้วย แต่ คุณยรรยง พวงราช ที่ปรึกษารองนายกฯ อดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ยืนอยู่ข้างๆกลับไม่ได้กินตาม แต่เอาส้อมตักมาชิมนิดหน่อยพอเป็นพิธี

คำถามที่ถามกันมากก็คือ ข้าวเก่าที่เก็บในโกดังมานาน 10 ปีแบบนี้ คนกินได้หรือไม่ แม้ คุณภูมิธรรม รองนายกฯและรัฐมนตรีพาณิชย์ จะกินโชว์ให้ดูด้วยตัวเอง แต่คนก็ยังไม่เชื่อว่าข้าวเก่าขนาดนั้น จะสามารถกินได้อย่างปลอดภัย

คุณภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้นอีกว่า ไม่ท้องเสีย สบายมาก เมื่อวานชิมแล้ว ไม่มีกลิ่นหืน ไม่มีความรู้สึกว่าจะกินไม่ได้ ความหอมอาจจะลดลงไม่เหมือนข้าวใหม่ แต่ความนุ่มนวลไม่มีปัญหาอะไร ยังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมรับประทานด้วย ไม่อยากให้เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง ตอนแรกตนเองก็ไม่มั่นใจ จนได้ไปดูและลองหุงมาชิม รู้สึกว่าอร่อย เม็ดข้าวก็สวย สีของข้าวมีปัญหาจริง ฝุ่นมีปัญหาจริง ก็ต้องเอาไปซาวน้ำซึ่งไม่เกิน 15 ครั้ง เป็นเรื่องปกติของการหุงข้าว อย่าไปทำให้เกิดความน่ากลัว

แต่นักวิจัยผู้รู้ไม่เชื่อ คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ ผมขอยกตัวอย่างท่านหนึ่ง รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ จากคณะเกษตรฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นนักวิจัยด้วย ท่านได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กทันที มีเนื้อหาน่าสนใจอย่างยิ่งว่า

...

จากกรณีที่ เอาข้าวเก่าค้าง 10 ปี มาหุงรับประทานโชว์กัน ขอบอกว่า ท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่าข้าวนั้นทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่างๆ (รวมถึงข้าว) ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับโรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชต้องไม่เกิน 12% สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่กระสอบป่านโอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน หากจะเก็บให้นานกว่านี้ ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing) อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13 องศาเซลเซียส ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว

กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็นวางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่างๆ แม้จะรมยา แต่สภาพการวางทับกระสอบรมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน

ข้าวที่เอามาหุงแสดง ขณะล้างฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าวด้วง หลักฐานประจักษ์ขณะซาวข้าว (15 ครั้งตามข่าว ปกติล้างไม่ถึง 3 ครั้ง) การมีมอดแมลง มูลของแมลงเหล่านี้ นำมาซึ่งความเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย ทำให้เน่า ได้สารพิษโดยไม่รู้ตัว สภาพข้าวที่หุงออกมามีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือ ข้าวที่ขึ้นรา

รศ.พันทิพา ได้เตือนอย่างหนักแน่นว่า อย่าขายให้คนหรือสัตว์นำไปบริโภค ได้ไม่คุ้มเสีย ผู้บริโภคโดยตรงจะป่วยด้วยมะเร็งมากขึ้น กรณีนำไปเลี้ยงสัตว์ เราจะได้ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ ที่มีสารพิษจากเชื้อรา เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น

ก็หวังว่า คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ จะรับฟังคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ถ้ารัฐบาลยังเอาข้าวลอตนี้ไป ขายให้คนไทย หรือ ขายให้คนแอฟริกา ทั้งที่รู้ว่าเป็นข้าวขึ้นรามีสารพิษมากมาย จะเป็นการ “ทำบาปกรรม” ต่อมนุษยชาติ โปรดอย่าทำเลยครับ เงินขายข้าว 200-400 ล้านบาท ไม่คุ้มกับชื่อเสียงประเทศไทยแน่นอน.


“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม