“เศรษฐา” ลุยเต็มสูบดิจิทัลวอลเล็ต เมินความเห็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ “เผ่าภูมิ” ลั่นเดินหน้าไม่มีอะไรสะดุด มั่นใจใช้เงิน ธ.ก.ส.ไม่ผิดกฎหมาย ปลัดคลังยันถกข้อกังวลมาหมดแล้ว ชี้เป็นแค่ความเห็นกรรมการคนหนึ่ง เผยเนื้อหาเอกสาร “เศรษฐพุฒิ” ห่วงหนี้สินภาครัฐท่วม ทำไทยเสี่ยงถูกปรับลดเครดิต กระทบเชื่อมั่นนักลงทุน แนะไปทำโครงการอื่นได้ประโยชน์กว่า กังวลสภาพคล่อง ธ.ก.ส. เลขาฯกฤษฎีกาให้ยึดกรอบวินัยการเงินการคลัง ธปท.ย้ำอีกไม่คิดขวาง แต่ควรช่วยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง “ภูมิธรรม” ข้องใจเอกสารลับลวงพราง ถ้าของจริงทำไมไม่ส่งให้ ครม. ปชป.ขู่บอร์ด ธ.ก.ส.ระวังติดร่างแห โผ ครม.โควตา พท.ออก 3 เข้า 4 แต่ รทสช.ยังไม่สะเด็ดน้ำ ขอไปเขย่ากันต่อ จับตา “จักรพล” เด็กสายตรง “เจ๊แดง” นั่งโฆษก รบ. “ชัยธวัช” ขอขยายเวลาไปอีก 30 วันสู้คดียุบพรรค เปิดบัญชี “ลุงป้อม” มีทรัพย์สิน 87 ล้าน นาฬิกาเรือนเดียวมูลค่าหมื่นห้า ป.ป.ช.ฟันอดีตบิ๊ก ปตท.สผ.เอี่ยวสินบนโรลส์รอยซ์ กางหลักฐานมัดรับเงินมิควรได้
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง เรียกปลัดกระทรวงการคลัง ว่าที่ขุนคลังคนใหม่ รมช.คลัง เข้าหารือเพื่อผลักดันโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเต็มที่ แม้จะมี เอกสารลับทักท้วงโครงการดังกล่าวของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลุดออกมาก็ตาม
...
“เศรษฐา” ระดมทีมดันเงินหมื่น
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 24 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เดินทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ติดตามงานและเตรียมความพร้อมต้อนรับ เชค ฮาซีนา นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ที่มีกำหนดการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกรัฐบาล ระหว่างวันที่ 24-29 เม.ย. กระทั่งเวลา 11.00 น. นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.คลัง ที่มีชื่อว่าจะได้รับการ แต่งตั้งเป็น รมช.คลัง เข้าพบเพื่อหารือโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จากนั้นนายพิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีที่มีกระแสข่าว จะได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกฯ ควบ รมว.คลัง และ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ทยอยเข้าพบไล่เลี่ยกัน
เมินความเห็นผู้ว่าการ ธปท.ลุยเต็มที่
จากนั้นเวลา 11.50 น. นายเผ่าภูมิให้สัมภาษณ์ว่า มารายงานนายกฯ ถึงความคืบหน้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ส่วนกรณีที่นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งหนังสือประกอบความเห็นการพิจารณาโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ให้ ครม.พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์โครงการดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการออกหนังสือเตือน เป็นเพียงการเสนอความคิดเห็น ทุกอย่างยังคงเดินหน้าตามมติ ครม.ไม่มีอะไรสะดุด เดินหน้าเต็มที่ เพราะได้นำความเห็นของ ธปท.มาพูดคุยหลายครั้งมาก และมีความเห็นร่วมกันในคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ก่อนเสนอมายัง ครม.ให้อนุมัติ โครงการ ขอย้ำว่าโครงการนี้มีการดูเรื่องข้อกฎหมายเป็นอย่างดี
มั่นใจใช้เงิน ธ.ก.ส.ไม่ผิดกฎหมาย
นายเผ่าภูมิกล่าวว่า การจะนำเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาใช้ในโครงการนี้ 172,300 ล้านบาท ยืนยันได้ว่า เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ท้วงติงถึงข้อกฎหมายให้ระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษ แต่ยอมรับว่ามีความเป็น ไปได้ที่อาจต้องส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอีกครั้งเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่ยังไม่รีบส่ง ในช่วงนี้ ส่วนการพัฒนาระบบแอปพลิเคชันมารองรับ ยืนยันว่าจะใช้ง่ายกว่าเดิม เนื่องจากมีการเชื่อมกับระบบธนาคารที่มีอยู่แล้ว รวมถึงเตรียมระบบรองรับ ผู้ที่มีสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว
“ลวรณ” ยันถกข้อกังวลมาหมดแล้ว
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวหลังการเข้าพบนายกฯว่า ผู้ว่าการ ธปท.สามารถ ให้ความเห็นมาได้ ทั้งเห็นด้วยและมีข้อทักท้วงเราก็รับฟังการประชุม ครม.ที่ผ่านมาเป็นการพิจารณา เรื่องของหลักการ และขั้นตอนการดำเนินการหลังจากนี้มีระเบียบและกฎหมายที่ต้องดำเนินการ ความเห็นของผู้ว่าการ ธปท.ไม่ได้ส่งผลให้โครงการสะดุดลง กรณีที่ผู้ว่าการ ธปท.ขอให้ลดกลุ่มเป้าหมายเหลือเพียงกลุ่มเปราะบาง ที่มีรายได้น้อยประมาณ 15 ล้านคน เป็นความเห็นที่ผู้ว่าการ ธปท.เสนอมาตั้งแต่ต้น ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบาย โครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ได้ผ่านขั้นตอนไปทั้งหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นประเด็นใหม่ ในที่ประชุมมีการชี้แจงต่อข้อกังวลนี้เรียบร้อยแล้ว ผู้ว่าการ ธปท.เป็นหนึ่งในนี้ ส่วนกรรมการท่านอื่นอีก 20 กว่าคน ไม่ได้มีความเห็นเช่นนี้ ส่วนกรณีจะมีการส่งคณะกรรมการกฤษฎีการตีความ เป็นเรื่องของ ธ.ก.ส. ที่ถือเป็นเรื่องใหม่ นายกฯสั่งการให้ทำด้วยความรอบคอบ ประเด็นที่เราเห็นว่า ไม่มีความชัดเจนให้ปรึกษากฤษฎีกา
“เศรษฐพุฒิ” ห่วงหนี้ภาครัฐท่วมหัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเห็นของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ระบุถึงความจำเป็นการดำเนินโครงการนี้ควรครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 15 ล้านคน สามารถดำเนินการได้ทันทีและใช้งบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท รวมถึงมีข้อเสนอแนะว่าโครงการนี้ก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว หากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น เกณฑ์การประเมินของ Moody’s ได้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะทำให้อัตราส่วนดังกล่าว มีแนวโน้มสูงกว่าเกณฑ์นี้ หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาพรวม
ทำโครงการอื่นได้ประโยชน์กว่า
ผู้ว่าการ ธปท.ยังมีความเห็นว่า การดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ใช้วงเงินงบประมาณสูง ทำให้ความสามารถในการดำเนินนโยบายการคลังอื่น ของรัฐบาลลดลง มีความเสี่ยงที่จะมีงบประมาณไม่เพียงพอรองรับในภาวะฉุกเฉิน การเพิ่มวงเงินกู้ ในปีงบประมาณ 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว 5 พันล้านบาท เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ ที่มากกว่า 1 แสนล้านบาท รวมทั้งเสนอให้รัฐบาลควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 5 แสนล้านบาท ไปใช้ลงทุนในโครงการที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ได้แก่ โครงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ ใช้วงเงินเฉลี่ย 3.8 ล้านบาทต่อตำแหน่ง สามารถสร้างบุคลากรทางการแพทย์ได้กว่า 130,000 ตำแหน่ง โครงการเรียนฟรี 15 ปี สำหรับนักเรียนทั่วประเทศ 8.3 หมื่นล้านบาทต่อปี สามารถสนับสนุนได้นานถึง 6 ปี โครงการรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-ชุมพร 4 หมื่นล้านบาทต่อสาย จะพัฒนาได้กว่า 10 สาย และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 1.9 แสนล้านบาทต่อสาย จะพัฒนาได้กว่า 2 สาย เป็นต้น
เสี่ยงกระทบสภาพคล่อง ธ.ก.ส.
นายเศรษฐพุฒิยังแสดงความเห็นถึงแหล่ง เงินดำเนินโครงการว่า การให้ ธ.ก.ส.ร่วมสนับสนุน ควรมีความชัดเจนทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มาตรา 9-10 ประกอบกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ต้องกำหนดกลไกการเติมเงินให้เกษตรกร แยกส่วนจากการเติมเงินให้ ประชาชนทั่วไปให้ชัดเจน อาจต้องจำกัดขอบเขตการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ไม่ให้เกิดการใช้งบประมาณผิดประเภท ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้องและรอบคอบ จึงเสนอให้ ครม.มอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน นอกจากนี้ ธปท.ในฐานะได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลความเสี่ยงและฐานะของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีข้อกังวล ว่าการที่รัฐบาลจะมอบหมายให้ ธ.ก.ส.สนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยยังมีภาระหนี้คงค้างกับ ธ.ก.ส. ถึงประมาณ 8 แสนล้านบาท อาจทำให้เกิดความเสี่ยง ด้านสภาพคล่อง และความเสี่ยงต่อฐานะการดำเนินงาน ของ ธ.ก.ส.อย่างมีนัยสำคัญ
กฤษฎีกาแนะยึดกรอบวินัยการเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ด้านความเห็นของนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า กรณีนำเงินของ ธ.ก.ส. 172,300 ล้านบาท มาดำเนินการต้องอยู่ภายในกรอบวัตถุประสงค์ ในหน้าที่ และอำนาจตามกฎหมายของ ธ.ก.ส. ตาม พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ ทั้งนี้ ตามนัยแห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 28 กระทรวงการคลังกับ ธ.ก.ส. ต้องจัดทำแผนบริหารจัดการโครงการประมาณการรายจ่าย แหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ ประมาณการสูญเสียรายได้และ ประโยชน์ที่จะได้รับ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติในรายละเอียดก่อนดำเนินโครงการตามนัย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 27 ต่อไปด้วย
ธปท.ย้ำอีกช่วยเฉพาะกลุ่มที่ขาด
นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ยืนยันว่าไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนโยบายภาพรวมดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการใช้นโยบายการคลังเพื่อเพิ่มการใช้จ่าย แต่ที่ ธปท.เสนอแนะไปคือเรื่องของรูปแบบ ที่อยากให้เจาะจงเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความยากลำบาก กลุ่มเปราะบาง เพื่อให้คุ้มค่ากับเม็ดเงิน ได้ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง หากเป็นไปได้จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ด้วย นโยบาย ธปท.ไม่ได้ขัดกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องของรายละเอียดมากกว่า ที่อยากให้เจาะจงตรงกลุ่ม ช่วยกระตุ้นคนที่ขาดมากกว่า ส่วนประเด็นการใช้เงินของ ธ.ก.ส.ที่จะส่งให้กฤษฎีกาตีความนั้น ธปท.ไม่มีประเด็นที่ขัดแย้ง และยืนยันว่า ธปท.ไม่มีอำนาจสั่งการว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะ ธปท.มีหน้าที่กำกับดูแลในด้านเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ และระบบการเงินเท่านั้น การตัดสินใจต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ ธ.ก.ส. กรณีนี้จะทำได้หรือไม่ต้องฟังกฤษฎีกาตีความมาก่อน
“ภูมิธรรม” ข้องใจเอกสารลับลวง
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า หากเอกสารให้ข้อเสนอแนะของผู้ว่าการ ธปท.เป็นเอกสารลับจริง แล้วหลุดออกมาได้อย่างไร ไม่รู้ว่าเป็นเอกสารลับจริงหรือไม่ เพราะไม่ได้ส่งถึงรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ยังไม่เห็นเอกสารดังกล่าว ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสอบถามในที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว แต่ก็ไม่ได้เสนออะไรจนมาถึงวันนี้กลับมีข่าวว่าเอกสารลับของแบงก์ชาติหลุด ในการประชุมครั้งหลังสุดผู้ว่าการแบงก์ชาติก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุม อาจไม่ใช่เอกสารจริง ดังนั้นไม่ควรให้ความสนใจในเรื่องนี้มาก แม้เอกสารจะระบุอย่างไร หากไม่ยื่นให้กับรัฐบาลก็คงไม่ใช่เอกสารจริง ไม่ได้มองว่าเป็นการดิสเครดิตรัฐบาล เพราะยังไม่เห็นเอกสารที่ชัดเจน สื่อควรไปสอบถามจากแบงก์ชาติเอง ถ้ารับว่าเป็นเอกสารลับจริงก็อยากถามจะยื่นถึงรัฐบาลเมื่อไหร่ และทำไมถึงไม่ยื่น
ปชป.ขย่มรัฐบาลแน่จริงทำทันที
นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า หลัง ครม.เห็นชอบในหลักโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อโครงการนี้เป็นนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงชูว่าเป็นโครงการปั๊มหัวใจประชาชน ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เมื่อผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว รัฐบาลต้องรีบดำเนินการ แต่จากการลงพื้นที่รับฟังเสียงพี่น้องประชาชน ต้องการให้รัฐบาลจ่ายเป็นเงินสด ไม่ต้องยุ่งยากผ่านแอปอะไรเพิ่มเติมอีก หากรัฐบาลยังไม่สามารถดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4 ก็ขอให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ เพราะถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลเพื่อไทยหาเสียงไว้แต่ทำไม่ได้จริง เป็นห่วงบอร์ด ธ.ก.ส. โดยเฉพาะบอร์ดที่เป็นข้าราชการ อาจได้รับผลกระทบในอนาคตได้ ขอให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ด้วย
“รัชดา” แซะกู้มาแจกสะเทือน ศก.
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลว่า “การกู้เงินมาแจกสะเทือนเศรษฐกิจ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ห่วงการกู้เพื่อดิจิทัลวอลเล็ต เพราะไม่ว่าจะไปซ่อนในงบประมาณปี 2568 (งบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้น) หรือกู้ ธ.ก.ส. รัฐบาลมีภาระต้องใช้คืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จะเป็นการสร้างภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว หากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น เกณฑ์การประเมินของ Moody’s หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาพรวม
“เผ่าภูมิ” ยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่ามารับเอกสารไปกรอกแบบฟอร์มตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วว่า ขอให้ความเห็นกับข่าวจริงเท่านั้น จะไม่ให้ความเห็นกับข่าวลือ ยืนยันว่ายังไม่มีสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี เมื่อถามย้ำว่าที่ไม่เปิดเผยเพราะถูกสั่งให้เงียบใช่หรือไม่ นายเผ่าภูมิยิ้มก่อนกล่าวย้ำว่า เน้นตอบข่าวจริง ไม่ใช่กระแสข่าว
นายกฯไม่จำเป็นต้องแจ้งคนหลุด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวมีผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี 2 คน มารับแบบฟอร์มไปกรอกประวัติรัฐมนตรีแล้วว่า ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ได้ดำเนินการไปถึงไหนอย่างไร เมื่อถามว่ามีความชัดเจนหรือยังว่าจะไปนั่ง รมว.สาธารณสุข นายสมศักดิ์ตอบว่า ไม่ทราบจริงๆ ไม่มีสัญญาณอะไรจากทั้งนายกฯ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อถามว่ามีการพูดคุยกันในหมู่รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ช่วงหลังๆ มีการคุยกัน แต่น้อยมาก อาจเป็นเพราะได้รับข่าวสารมากพอแล้ว ไม่มีอะไรต้องติดตาม เมื่อถามว่านายกฯต้องชี้แจงให้รัฐมนตรีที่จะถูกปรับและโยกย้ายทราบล่วงหน้าหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ไม่จำเป็น เป็นอำนาจของนายกฯ บางคนอาจถามตนว่าได้เซ็นหนังสือหรือยัง หรือคนที่มีชื่อได้ไปเซ็นหรือยัง ตรงนี้ไม่ทราบ เพราะถ้ายึดตามหลักเดิมคนที่เป็นรัฐมนตรีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำประวัติใหม่
“อนุทิน” ย้ำภูมิใจไทยขออยู่ที่เดิม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวภายหลังเข้าพบนายกฯว่า นายกฯเรียกมาสั่งข้อราชการ เป็นเรื่องงานเรื่องดี ไม่มีเรื่องปรับ ครม. เพราะเรียนนายกฯไปแล้วว่าในส่วนของพรรค ภท.ขอให้อยู่เหมือนเดิม ขอทำงานอยู่ที่เดิม เมื่อถามว่านายกฯส่งสัญญาณหรือไม่ว่าการปรับ ครม.จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นายอนุทินตอบว่า ไม่มี อยู่ที่นายกฯจะพิจารณา และตนไม่ได้ถาม เรื่องนี้หากจะพูดคุยต้องคุยกับหัวหน้าพรรคแต่ละพรรค คุยรวมไม่ได้ เพราะหัวหน้าพรรคแต่ละพรรคมีความรับผิดชอบในหน้าที่ตัวเอง
โผ ครม.โควตา พท.ออก 3 เข้า 4
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุดค่อนข้างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยจะถูกปรับออก 3 คน คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็น สส.เขตมีงานสภารองรับอยู่ ส่วนนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกฯ แม้ไม่ได้เป็น สส. แต่มีการหาตำแหน่งในฝ่ายบริหารไว้รองรับอยู่ เนื่องจากนางพวงเพ็ชรเป็นผู้อาวุโสและมีบทบาทในการเลือกตั้ง จึงไม่ต้องการให้ขาลอย ส่วนผู้ที่ถูกวางตัวให้เข้ามารับตำแหน่งใหม่ 4 คน คือ นายพิชัย ชุณหวชิร จะรับตำแหน่งรองนายกฯควบ รมว.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เป็น รมช.คลัง น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด ล่าสุดมีชื่อไปเป็น รมช.พาณิชย์ และนายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกฯ มีชื่อเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ
รทสช.ขอไปเขย่าให้สะเด็ดน้ำ
ในส่วนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค พปชร. มีแนวคิดที่จะกำกับควบคุมกระทรวงเกษตรฯแบบเบ็ดเสร็จ จึงส่งชื่อนายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา มาเป็น รมช.เกษตรฯ สลับโควตากับพรรคเพื่อไทยที่ปรับนายไชยาออกไป และยังพยายามเจรจาขอให้ปรับนายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรฯ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ไปอยู่กระทรวงอื่น แต่ดีลนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป และในส่วนของพรรค รทสช.เองก็ยังไม่นิ่ง ต้องขยับในส่วน รมช.บางกระทรวง เช่น กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงการคลัง หากเพิ่มนายเผ่าภูมิเข้ามาเป็น รมช.คลังอีกคน จะทำให้มี รมช.คลังถึง 3 คน ถือว่าเยอะเกินไป อาจต้องขยับนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง ของพรรค รทสช. ไปอยู่กระทรวงอื่น แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้เหลือเพียงพรรค รทสช.พรรคเดียวที่ขอไปหารือกันเป็นการภายใน 2 วัน จะครบกำหนดในวันที่ 25 เม.ย. คาดว่ารายชื่อ ครม.จะเรียบร้อยภายในวันที่ 26 เม.ย.
จับตาสายตรง “เจ๊แดง” โฆษก รบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า มีความเคลื่อนไหวจากแกนนำรัฐบาลโดยเฉพาะในพรรคเพื่อไทย กำลังพิจารณาเปลี่ยนตัวบุคคลมาทำหน้าที่แทนนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ล่าสุดมีชื่อนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ถูกจับตาอย่างมากว่าจะมารับหน้าที่โฆษกรัฐบาลคนใหม่ แม้ก่อนหน้านี้จะมีชื่อนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เป็นแคนดิเดตคนสำคัญ สอดรับกับกระแสข่าวล่าสุดว่านายสุทิน คลังแสง จะยังอยู่ในตำแหน่ง รมว.กลาโหมต่อ โดยที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ จะไม่มานั่งควบ รมว.กลาโหม สำหรับนายจักรพล เป็นอดีต สส.เชียงใหม่ ที่มีความใกล้ชิดกับนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล
ก.ก.ขอขยายเวลาไปอีก 30 วัน
ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นขอขยายเวลาทำเอกสารชี้แจงคดียุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ทีมกฎหมายพรรคยื่นขอเวลาเพิ่มเติมอีก 30 วัน โดย 15 วันที่ได้รับการขยายเวลาพรรคเห็นว่าไม่เพียงพอ คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะขยายเวลาให้เราออกไปอีก เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวพรรคจะถูกยุบ อาจมี สส.ย้ายแบบข้ามขั้วอีก นายชัยธวัชตอบว่า เชื่อว่าสถานการณ์ไม่แย่ไปกว่าตอนยุบพรรคอนาคตใหม่ พยายามบอกเพื่อนๆในพรรคว่าอย่าไปสร้างบรรยากาศความไม่ไว้วางใจ หรือไปล่าแม่มดกัน ที่สำคัญที่ผ่านมาเราพูดถึงการต่อสู้คดี และความเป็นไปได้ที่เราจะไม่ถูกยุบพรรคยังมีอยู่
ปรับ ครม.ใช้คนให้เหมาะกับงาน
นายชัยธวัชกล่าวถึงการปรับ ครม.ว่า ต้องมุ่งเน้นบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน มากกว่าหมุนเวียนเก้าอี้กันตามโควตา เมื่อถามถึงกระแสข่าวนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ จะไปนั่งควบ รมว.กลาโหม และพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็น รมช.กลาโหม นายชัยธวัชตอบว่า ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรี สิ่งสำคัญคือความมุ่งมั่นว่าจะสามารถปฏิรูปกองทัพได้หรือไม่ ภายใต้สภาวะทางการเมืองเช่นนี้ เพราะแม้กระทั่งประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล ก็มีเสียงไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน พรรค ก.ก.ยังต้องการเห็นการสานต่อร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม และร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร อยากเห็นรัฐบาลเริ่มปฏิรูปกองทัพที่เป็นรูปธรรม
จี้ทบทวนคำถามประชามติชี้นำ
นายชัยธวัชยังกล่าวถึงกรณีรัฐบาลแถลงเห็นชอบหลักการทำประชามติ 3 ครั้ง โดยไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ว่า จากที่ดูตามเอกสารยังไม่ชัดเจนครม.มีมติอย่างเป็นทางการต่อเรื่องนี้แล้วหรือไม่ แต่อยากให้รัฐบาลไปทบทวน ตั้งคำถามอย่างกว้างที่สุด เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ทั้งนี้ คนในรัฐบาลบางคนพยายามสร้างความเข้าใจว่าพรรค ก.ก.ต้องการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 มาก จึงคัดค้านคำถามแบบนี้ ความจริงไม่ใช่ เพราะหลักการพื้นฐาน หากอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน รัฐธรรมนูญก็ควรแก้ได้ทั้งหมด รัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจอย่างเดียว แต่มีเรื่องอื่นด้วย สมมติในอนาคตมี สสร.เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีวุฒิสภา แล้วให้ใช้ระบบสภาเดี่ยว แต่ในหมวด 1 มีถ้อยคำวุฒิสภาอยู่ จะเอาออกอย่างไร จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขถ้อยคำ เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจ อาจมีปัญหาทางเทคนิคเกิดขึ้นได้
เบรก ก.ก.เร่งบรรจุวาระแก้ รธน.
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า กรณีพรรคก้าวไกลเรียกร้องให้เร่งบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น พรรคก้าวไกลเสนอมาได้ แต่จะบรรจุหรือไม่ต้องดูอีกที เพราะรัฐบาลก็มีมติว่าจะทำประชามติก่อน ถ้าเสนอเข้ามาแล้วมีการพิจารณาไปแล้ว หากไปขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญ จนมีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกตีตก ทำให้เสียเวลามากกว่าการจะทำประชามติ 3 รอบ อย่างน้อยรอบแรกให้ถามประชาชนก่อนจะให้แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าอยากแก้ไขก็เป็นไปตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นค่อยเสนอร่างแก้ไข เป็นไปตามขั้นตอนและปลอดภัย ตอนนี้กฎหมายประชามติมีอยู่แล้ว เว้นแต่รัฐบาลอยากแก้ไขบางมาตราก่อนก็เสนอมาแก้ไขได้ในช่วงสมัยประชุมวิสามัญ ยังไม่ทราบจะมีการเสนอเข้ามาหรือไม่ เชื่อว่าประชาชนจะออกมาใช้สิทธิเกินครึ่ง หากทุกคน ทุกฝ่ายช่วยกันรณรงค์ทั้งรัฐบาล สื่อมวลชน ประชาชน แต่หากประชาชนออกมาใช้สิทธิไม่ถึงครึ่งแสดงว่าไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น
“ปริญญา” แนะ พท.-ก.ก.จับเข่าคุยกัน
ที่รัฐสภา นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ การทำประชามติรัฐธรรมนูญ 3 ครั้งว่า คำถามที่ว่าจะเห็นชอบหรือไม่กับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 นั้น หากรัฐบาลอยากเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญได้ ควรหาหนทางพูดคุยกับฝ่ายค้านให้พอไปกันได้ ถ้ายังเดินหน้าโดยเห็นต่างกันอยู่ เกรงว่าประชามติจะไม่ผ่าน สุดท้ายการแก้รัฐธรรมนูญแก้ไม่สำเร็จ และเรื่องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ควรต้องคุยกันด้วยเหตุผล อย่าเพิ่งไปตายตัวจะถามแบบไหนต้องคุยกัน รวมถึงหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ประชามติ ที่ระบุต้องมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ เป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ แต่คำถามคือจะคุยกันได้หรือไม่ จุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จ คือ รัฐบาลกับฝ่ายค้านต้องคุยและหาทางออกร่วมกัน ปัญหาการทำประชามติไม่ได้อยู่ที่ตัวคำถาม แต่คือความเห็นต่างระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล
“ลุงป้อม” แจ้งทรัพย์สิน 87 ล้าน
วันเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายราย มีบัญชีทรัพย์สินที่น่าสนใจ อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กรณีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครบ 3 ปี โดยแจ้งสถานะโสด มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 87,841,457 บาท ที่น่าสนใจคือในรายการทรัพย์สินอื่น รวม 229,500 บาท หนึ่งในนั้นมีนาฬิกา TW STEEL เพียง 1 เรือน มูลค่า 15,000 บาท และมีหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 757 บาทเท่านั้น ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรแจ้งกรณีพ้นจากรองนายกฯ เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 มี 89,214,637 บาท ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แจ้งกรณีพ้นจาก สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 15 ม.ค.2567 มี 87,502,327 บาท มีหนี้สิน 20 ล้านบาท นายประเสริฐ จันทรรวงทอง พ้นจาก สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย วันที่ 15 ม.ค.2567 มี 38,558,122 บาท ส่วนนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ มี 361,819,343 บาท และนางนันทนา สงฆ์ประชา สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย มี 657,247,925 บาท
ฟันอดีตบิ๊ก ปตท.สผ.เอื้อโรลส์รอยซ์
อีกเรื่อง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ กรรมการบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กับพวก เอื้อให้บริษัทโรลส์-รอยซ์ เอ็นเนอร์จี ซิสเต็ม เป็นผู้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับ ปตท.สผ. จัดซื้ออุปกรณ์เครื่องอัดอากาศแบบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์กังหันที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง สำหรับแท่นผลิตกลางโครงการอาทิตย์ จากการไต่สวนพบว่า ปี 2547-2551 ปตท.สผ.ก่อสร้างแท่นผลิตกลางโครงการอาทิตย์ บริเวณอ่าวไทย ได้จัดหาเครื่องอัดอากาศแบบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์กังหันที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง 2 เครื่อง วงเงิน 1 พันล้านบาท โดยคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ประกอบด้วย นายจิตรพงษ์ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ และนายอนุชา สิหนาทกถากุล มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติสั่งซื้อ มีนายมารุต มฤคทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ปตท.สผ. เร่งรัดให้รายงานที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ทั้งที่คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจมีมติเพียงเห็นชอบในหลักการให้สั่งซื้อเท่านั้น ถือเป็นการมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างธรรม
กางหลักฐานมัดรับเงินมิควรได้
นายนิวัติไชยกล่าวว่า การไต่สวนยังพบว่า นายเผ่าเผด็จ วรบุตร รองผู้จัดการใหญ่สายงานพื้นที่นอกชายฝั่ง ปตท.สผ.ที่เร่งรัดให้ออกหนังสือเชิญบริษัทโรลส์-รอยซ์ เอ็นเนอร์จี ซิสเต็ม เข้าร่วมประมูล ก่อนที่ได้รับความเห็นชอบให้ชนะการประมูลนั้นได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากบริษัทโรลส์-รอยซ์ฯที่จ่ายค่าคอมมิชชันเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของบริษัทแควนตั้มเม็ค (ประเทศไทย) จำกัด ในสิงคโปร์ และโอนต่อไปยังบุคคลใกล้ชิดนายเผ่าเผด็จ 10 ล้านบาท อันเป็นการรับทรัพย์สินที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของนายจิตรพงษ์ นายอนุชา นายมารุต มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ขณะที่นายเผ่าเผด็จมีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ให้ส่งรายงานการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญา และส่งรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัย ในส่วนนายจุลสิงห์ถึงแก่ความตายให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่