ร้อนไม่แผ่ว ดวงอาทิตย์ทำโอทีไม่พัก
ปรอททะลักแตะ 43-44 องศา แดดเผาจนรถจอดกลางแจ้งเกิดเหตุไฟลุกไหม้
สภาพเมืองไทยเหมือนโดนอบอยู่ในเตาไมโครเวฟ จุดความร้อน ฝุ่นควันพิษ PM2.5 ทำ “นิวไฮ” แข่งกับราคาทองคำ แต่ไม่ใช่ข่าวดีเหมือน “นิวไฮ” ตลาดหุ้นไทยสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแต่ข่าวร้าย
เงินในกระเป๋าชาวบ้านร้านตลาด ร้อนตีคู่ไปกับอากาศ
สภาพค่าครองชีพสวนทางกับรายได้ สัญญาณลบมาเต็ม โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลจ่อทะลุเกินลิตรละ 30 บาท เพราะกองทุนน้ำมันตูดขาด อุ้มต่อไปไม่ไหว นับถอยหลังต้องปล่อยให้กระทบภาคขนส่ง สะเทือนราคาสินค้าและบริการ
หมดโปรโมชันลดแจกแถม แลกแต้มนิยมการตลาดการเมือง
เข้าสู่ยุคของแพง ค่าแรงงานถูก มันคือสถานการณ์ที่ต้องเผชิญโลกแห่งความจริงด้วยกันทั้งประชาชนคนไทยและรัฐบาลผสมสูตรพิสดารพรรคเพื่อไทย
ผ่านครึ่งปีเข้าสู่เดือนที่เจ็ด พอจะเห็นเค้ากันแล้วว่าของจริงหรือของปลอม
กับฟอร์มของฝ่ายบริหารนำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง ที่ตีปี๊บมอตโตหาเสียง “คิดใหญ่ ทำเป็น” พะยี่ห้อ “ทักษิณ”
...
เคลมตีกิน “บุญเก่า” เชิงบริหารเศรษฐกิจที่เคยติดหูติดตาชาวบ้านรากหญ้า
อาสาแบกความหวังในการลากประเทศขึ้นจากหุบเหววิกฤติ ขายฝัน ฟื้นความกินดีอยู่ดี คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
แต่ภาพรายวันที่ติดตายังเห็นแค่มุกถนัด เกมการตลาดนำการเมือง เป็นรัฐบาลที่เนืองแน่นไปด้วยงานอีเวนต์ ผู้นำถูกวางพล็อตให้เล่นบท “เดอะ เซลส์แมน” บินไปโรดโชว์ต่างประเทศ ร่อนไปโชว์ตัวต่างจังหวัด
ขยันเดินสายแบบไม่เหน็ดเหนื่อย แต่ยังไม่มีอะไรจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอัน
วัดจากมุมของเหล่าปัญญาชน อ่านจากป้ายผ้าในงานฟุตบอลเชื่อมสัมพันธ์ “จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์” ข้อความเป็นกลอนยาวๆ
“เกือบหนึ่งปีกี่ผลงานท่านว่าเด่น ยังไม่เห็นคืบหน้าน่าสงสัย หนีบกระเป๋าเป็นเซลส์แมนในแดนไกล ขายผ้าไทยหรือขายหน้าลองคิดดู ปั่นสองล้อกลางเมืองทะเลหมอก แล้วก็บอกเงินหมื่นรอหน่อยสู พอนายพี่พ้นคุกนึกคำครู ว่ากฎหมายใช่กฎหมู่หรือกฎ (กด) ใคร”
“เด็กแสบ” ล็อบบี้ไม่ได้ ภาพสะท้อนผ่านแววตาใสๆจึงแจ่มชัด
อ้างอิงได้ชัวร์กว่าโพลสำนักมาตรฐาน
และที่ชัดกว่าก็ฟ้องจากอาการสะดุ้งกระแส จังหวะแค่ฝ่ายค้านง้างหมัดยังผวา ตามเหลี่ยมเขี้ยวของค่ายก้าวไกล ปล่อย “ทีเซอร์” เรียกแขกล่วงหน้า กระตุ้นคนดูก่อนศึกอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 โปรโมต “ฟุตบอลอุ่นเครื่อง” จั่วหัวโฆษณาตามท้องเรื่อง “เพื่อไทย หรือ เพื่อใคร” ตั้งใจล้ออำกันแรงๆเปลี่ยนมอตโต้ทีม “นายใหญ่” หัวใจไม่ใช่ประชาชน
ยั่วจนคนของพรรคเพื่อไทยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เก็บทรงไม่อยู่
อาการแบบที่มวยรุ่นเดอะอย่าง “เสี่ยอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ อดรนทนไม่ไหวต้องรีบออกมาฟาดหัวฟาดหาง
ด้อยค่าเด็กเก่งแค่สร้างวาทกรรม ไม่สมกับการเมืองรุ่นใหม่
ฟอร์มเก๋าชิงตัดไม้ข่มนามรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่นั่นก็เข้าทาง ทีมก้าวไกล ได้ทีดักสวนกลับนิ่มๆ “ทารกการเมือง” ตอกย้ำอาการมวยเบอร์ใหญ่ของทีมเพื่อไทย โดนจี้จุด “ใจดำ” ซ่อนอารมณ์หวั่นไหว ไม่มิด
รีบเบรกกระแสฝ่ายค้านจุดติดง่าย นั่นหมายถึงทีมเพื่อไทยก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า อารมณ์ คนดูทางบ้าน สังคมส่วนใหญ่ เห็นคล้อยตามทีมเด็กมากกว่าทีมคนแก่
กับสภาพแห่งความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ “ตำตา”
สถานะของรัฐบาลเพื่อไทยเป็นรองในเชิงกระแส ถูกมองไม่ต่างจาก “ผู้ร้ายปากแข็ง” ภายใต้ปรากฏการณ์พิลึก พิลั่น เกมอำนาจการเมืองที่ฝืนธรรมชาติ ขัดความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่
ยิ่งแก้ตัว ยิ่งถูกด่าโกหก ยิ่งเหมือนดูถูกภูมิปัญญาผู้คน
และยิ่งเมื่อถึงเวลาอภิปรายจริง ฝ่ายค้านก็จัดหนักตาม “โพย” ที่ปล่อยข้อสอบล่วงหน้า โดยเฉพาะทีมก้าวไกลแค่สรุปเหตุการณ์ ขยายผลตามหลักฐาน พยานแวดล้อมที่ปรากฏต่อสายตาผู้คนในสังคม
กระทุ้งปม “เพื่อไทย หรือ เพื่อใคร” หัวใจไม่ใช่ประชาชน
ที่สำคัญยังได้ฟอร์มเก๋าของรุ่นลายครามทั้ง “ปรมาจารย์” ชวน หลีกภัย กับ “อู๊ดด้า” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มวยใหญ่ค่ายประชาธิปัตย์ โชว์ความเป็น “ตำนาน” ฝ่ายค้านมืออาชีพ
สะบัดใบมีดโกน โชว์คมฝีปาก ประสานเพลงดาบกับทีมเด็กก้าวไกล
ฟันโชะ ผลงานเดียวที่เห็นเด่นชัดสุดของรัฐบาลคือการอุ้ม “นักโทษวีไอพี”
ไล่บี้ ไล่ต้อน ยั่วอาการลนลานของทีม สส.เพื่อไทยที่โชว์ฟอร์มองครักษ์พิทักษ์ “นายใหญ่” ประท้วงตัดบท ตีรวน ปล่อยไก่กลางสภา กลายเป็นตัวตลก
ยิ่งฟ้องภาพของวัวสันหลังหวะ ผวา “แผลบาดทะยัก”
โดยรูปเกม เพื่อไทยไม่อาจปิด “จุดแข็ง” แฝง “จุดสลบ” กลบบ่อน้ำมันไม่มิด ปมเด่นที่หวังแห่ “นายใหญ่” คิดใช้ยี่ห้อ “ทักษิณ ชินวัตร” ฟื้นคะแนนนิยมทางการเมือง แต่ต้องเสี่ยงกับกระแสตีกลับ “ยุติธรรมสองมาตรฐาน”
เป็นหัวเชื้อชนวนระเบิดที่ยากเก็บกู้ พร้อมปะทุได้ทุกขณะ
แค่จังหวะ “เตะฟรีคิก” โดนหลอกด่าฟรี ในคิวอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ รัฐบาลเพื่อไทยยังสะดุ้ง แผลเข้าเนื้อลึก เลือดโชก ก็ไม่ต้องนึกถึงคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะสาหัสขนาดไหน
ยิ่งได้เห็นลีลา “ของแท้” อารมณ์ของผู้นำอย่างนายเศรษฐาที่ลุกขึ้นสวนฝ่ายค้านแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แมลงวัน-แมลงหวี่ บินว่อน
พลิกจากบทพินอบพิเทา เอาความอ่อนน้อมเข้าสู้ แปลงร่าง เป็นตัวชนให้ “นายใหญ่” อาการมวยคาดเชือก บู๊ลุยแหลก ผู้นำตัวสูงๆก็ต้องเตรียมตัวสู้กับแรงกระแทกหนักๆไว้เลย
ในสนามรบเกมสภา “นายกฯ 2-3 คน” จะเหลือเป้าโฟกัสคนเดียว
สภาพรัฐบาลสาละวนกับการอุ้มคนแค่คนเดียว หักมุมกับฝ่ายค้านทำการบ้านมาดี โดยเฉพาะค่ายก้าวไกลที่ยกระดับการเล่นเป็นทีม ไม่ผูกติดอยู่กับตัวบุคคล ทำงานอย่างเป็นระบบ
ฟอร์มคงเส้นคงวา มาตรฐานการเมืองใหม่
เบอร์ใหญ่อย่าง “ดร.ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ แม่ทัพหญิงทีมเศรษฐกิจค่ายส้ม ที่ล็อกเป้าถล่มเรือธง ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ดักหน้า ดักหลัง จนทีมกระทรวงการคลังทีมเพื่อไทย หนีไม่ออก
ขาบู๊อย่าง “รังสิมันต์ โรม” ก็โชว์ทลายเครือข่าย “อาชญากรรมออนไลน์” ที่ตั้งฐานอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐของไทยรับส่วยกันเป็นล่ำเป็นสัน
กระทรวงดีอีต้องตื่นโกลาหล โชว์ตั้งทีมไล่ล้อมกันยกใหญ่
“ตัวตึง” อย่าง “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ก็ไล่บี้กัดติดงบช็อปปิ้งกองทัพ จี้ให้ปรับเปลี่ยนค่าโง่เรือดำน้ำมาซื้อเรือฟริเกต หนุนอู่ต่อเรือกองทัพ สร้างงานให้คนไทย
ไม่ได้ตะบี้ตะบันต่อต้าน ถึงจุดพลาดก็ช่วยเสนอทางออก
กองทัพส้มไม่ตื่นไปกับการยุบพรรค แต่มีการเปิดพื้นที่ให้หน้าใหม่ๆอย่าง “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ, นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง, เบญจา แสงจันทร์, ชยพล สท้อนดี,จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์, “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก, “ลิซ่า” ภคมน หนุนอนันต์ ฯลฯ โชว์ฟอร์มแถว 3 แถว 4 ทำได้ตามมาตรฐาน
กองทัพก้าวไกลแสดงให้เห็นว่า “ล้างกระดาน” ยังไง ก็มีตัวตายตัวแทน
โดยเฉพาะคิวของพระเอกอย่าง “หนุ่มทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่รับหน้าที่สรุปอภิปรายรูดม่านก่อนจบ
ถือโอกาสอำลา การอภิปรายเป็นครั้งสุดท้าย
“พ่อด้อมส้ม” รู้ตัวโอกาสรอดยากจากธงยุบพรรคก้าวไกล ตัดสิทธิกรรมการบริหาร เลยทิ้งทวนถล่มรัฐบาลผสมสูตรพิสดารแบบยับเยิน
ไม่เสียใจที่ไม่มีโอกาสเป็นนายกฯถึงจะชนะเลือกตั้ง ไม่เสียใจถ้าหากต้องโดนโทษแบนทางการเมือง แต่เสียดายโอกาสประเทศไทย เสียดายเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน กับความสะเปะสะปะ ความล่องลอย หาเสียงไว้ไม่ได้ทำ ไอ้ที่ทำอยู่ก็ไม่ได้หาเสียง สภาพรัฐบาลไม่มีวาระเป็นของตัวเอง
เมื่อไม่มีวาระ ไม่มีวิสัยทัศน์ ก็ไร้ผลงาน
และสรุปกันนิ่มๆ “หนุ่มทิม” แนะนำผู้นำรัฐบาลตรงๆ ขืนบริหารด้วยมาตรฐานนี้ ยังไงก็ไปต่อไม่ไหวแน่
ถึงเวลาต้องปรับ ครม.เพื่อต่อเวลาหายใจ
ฟอร์มเขี้ยวของ “พิธา” อ่านทางบอลขาด ชิง “เขี่ยลูก” ใส่พานให้ “นายใหญ่” ซัลโวตามน้ำ
ชู้ตข้ามหัว “นายกฯในตำแหน่ง” ไปถึง “นายกฯในตำนาน” นั่นเพราะรู้ดี สไตล์ “เถ้าแก่ใหญ่” ที่บริหารการเมืองแบบธุรกิจกงสี ใช้เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นบำเหน็จรางวัลตอบแทนข้าที่ภักดี สาวกที่ทุ่มสู้แบบถวายหัว
ได้เวลา 6-7 เดือน เปลี่ยนมือ “สมบัติผลัดกันชม”
ประกอบกับไฟต์บังคับรัฐบาลเพื่อไทยปั่นแต้มไม่ขึ้น เกมบีบ “เถ้าแก่ใหญ่” เล่นท่ายากในการฟื้นคะแนนนิยมแบบหืดขึ้นคอ
ปรับ ครม.แน่ แค่รอสัญญาณรับโพยจาก “จันทร์ส่องหล้า”.
“ทีมการเมือง”