องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO เตือนเรื่อง ธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณอันตราย เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ที่เข้าสู่ยุคภาวะโลกเดือด ในขณะที่ปัญหาฝุ่นละอองพิษในอากาศหรือ PM 2.5 จะทำให้ประชากรที่อยู่ในโซนอันตรายนานๆอายุจะสั้นลง ประมาณ 7 ปี ฟังแล้วใจหาย ถึงปีที่แล้ว WMO จะระบุว่า เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่คาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ร้อนกว่า หมายความว่า อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นทุกปี ทั้งจากปรากฏการณ์ เอลนีโญ ที่จะทำให้อุณหภูมิโลกอุ่นขึ้น และสภาพอากาศสุดขั้ว ร้อนจัดๆ หนาวจัดๆ ทำให้ธรรมชาติบนโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เลวร้ายและแตกต่างจากเดิมแบบสุดขั้ว ซึ่งถ้าผ่านจุดนี้ไปแล้ว อีกร้อยปีหรือพันปี โลกจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เรามีพันธสัญญา แก้ปัญหาโลกร้อน ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นศูนย์ ดูเหมือนว่าจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆและไม่ทันต่อสถานการณ์ การทำลายล้างธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้น ภาวะก๊าซเรือนกระจก หรือกฎหมายควบคุมอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่ให้เกิน 1.5 องศา คงไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้ามนุษย์บนโลกนี้ยังมีความเห็นแก่ตัว
ประเทศไทยดีใจว่า เรามีกฎหมายสมรสเท่าเทียม เป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ ผ่านวาระ 2-3 ของสภาไปเรียบร้อย รอให้ สว.ให้ความเห็นชอบก็จะประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ ภายใต้ชื่อกฎหมายว่า พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือเรียกสั้นๆว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียม หลักการก็คือการขยายสิทธิการสมรสหรือการแต่งงานให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ เช่น เดิมอนุญาตให้สมรสได้ระหว่างเพศหญิงกับเพศชายเท่านั้น เปลี่ยนเป็นการสมรสระหว่างบุคคลกับบุคคล ผู้หมั้นกับผู้รับหมั้น จะหญิงกับหญิง หญิงกับชาย ชายกับชาย ได้หมด เปลี่ยนการกำหนดอายุคู่สมรส เป็น 18 ปีขึ้นไป จากเดิม 17 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับการบรรลุนิติภาวะ ซึ่งในชั้นต้นไม่ได้มีอะไรซ้ำซ้อน จะมีปัญหาที่ถกเถียงกันในที่ประชุมก็คือร่างของใคร ระหว่างรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล จะเป็นร่างกฎหมายหลัก เช่น การจดทะเบียนรับบุตร ใครจะเป็นบุพการีลำดับแรก บุตรมีสิทธิใช้นามสกุลใคร ก็ให้ไปร่างเป็นประกาศกระทรวง หรือกฎกระทรวงกันต่อไป รวมทั้งการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำหน้าชื่อการสืบทอดมรดก สินสมรส อะไรมีปัญหาตรงไหนก็ไปประกาศเป็นกฎกระทรวงเอา
...
จุดหมายหรือวัตถุประสงค์น่าจะเป็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศมากกว่า ซึ่งในหลายประเทศยังเห็นว่าเป็นการขัดกับธรรมเนียมประเพณี หรือกฎธรรมชาติแม้แต่การเป็นบุคคลข้ามเพศ ก็ยังไม่มีการยอมรับในบางสังคม
และไม่เห็นว่าจะมีสาระสำคัญในการดำรงชีวิตของประชาชนแต่อย่างใด เป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น บ้านเราจะพูดกันตรงไปตรงมา พรรคก้าวไกล ที่มี สส.ของพรรคแนวนี้ มีการยอมรับอย่างเปิดเผยให้มีสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมกับ สส.ชายหรือหญิง ก้าวไกลก็เลยได้คะแนนจากบุคคลข้ามเพศไปเต็มๆ
รัฐบาลก็คงจะเห็นว่าจะปล่อยให้ก้าวไกลตีกินแบบนี้ไม่ดีแน่ ก็เลยเสนอกฎหมายมาประกบ แน่นอนว่า ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลย่อมชนะอยู่แล้ว ทีนี้เวลาไปหาเสียง ก็จะแข่งเอามาเป็นผลงาน ส่วนภาพว่าเราเป็นอิสรเสรีทางเพศ คงยังไม่ไกลถึงขั้นนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังมีเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
และมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แก้ปัญหาปากท้องและคุณภาพชีวิตของชาวบ้านให้ดีขึ้น.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th