ภารกิจที่คุณอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยกทีมผู้บริหารพรรคเพื่อไทย เดินทางไปกัมพูชา พบปะหารือกับสมเด็จฮุน เซน ประธานองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกฯกัมพูชา ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) และเข้าพบหารือกับสมเด็จฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา ถือเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เสริมเครดิตทางการเมืองของคุณอุ๊งอิ๊งค์ได้เป็นอย่างดี เตรียมเนื้อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนำทัพสู้ศึกเลือกตั้งสมัยหน้า หรือหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นเสียก่อน ก็อาจต้องมารับไม้ต่อจากนายกฯเศรษฐา ทวีสิน

แม้คุณอุ๊งอิ๊งค์เคยนำทัพหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แต่ต้องมี สส.มือเก๋าและชำนาญการปราศรัยคอยเป็นพี่เลี้ยงประกบตลอด และตั้งแต่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 27 ต.ค.66 เกือบ 5 เดือนแล้วยังไม่ค่อยได้โชว์ตัวออกสื่อ จัดกิจกรรม หรือแสดงบทบาทฝีมือในฐานะหัวหน้าพรรคให้สาธารณชนได้เห็น

บทบาทเด่นชัดที่สุดของคุณอุ๊งอิ๊งค์หลังจากเข้าสู่การเมืองเต็มตัวคือการเป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ปลุกความตื่นตัวเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ไทย และทำให้ปีนี้ไทยได้จัดฉลองเทศกาลสงกรานต์ยาวถึง 21 วัน

ทริปกัมพูชาคราวนี้จึงช่วยเสริมภาวะผู้นำทางการเมืองให้แก่คุณอุ๊งอิ๊งค์ และยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งระดับผู้นำและระดับประชาชน ฝ่ายกัมพูชาให้เกียรติสูงสุดและต้อนรับคณะผู้บริหารพรรคเพื่อไทยอย่างดียิ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ของกัมพูชามีหลายคนอายุยังไม่เยอะ เหมือนทีมบริหารพรรคเพื่อไทยชุดนี้ที่ผลักดันคนรุ่นใหม่ขึ้นมา

คุณสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงผลการหารือทวิภาคีเต็มคณะ ระหว่างผู้บริหารพรรคเพื่อไทย กับสมเด็จฮุน เซน ว่า 1.ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยสมเด็จฮุน เซน ให้คำแนะนำการทำพรรคการเมือง การทำประโยชน์เพื่อประชาชน รวมถึงเปิดโอกาสและพัฒนาศักยภาพคนรุ่นใหม่ร่วมกัน

...

2.สมเด็จฮุน เซน เห็นด้วยในหลักการและสนับสนุนนโยบายรัฐบาลนายกฯเศรษฐา ที่ได้ริเริ่มโครงการ 6 Countries 1 Destination (ไทย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เวียดนาม และเมียนมา) ทั้งยังเสนอให้นำร่องการเข้าประเทศกลุ่มอาเซียนด้วยวีซ่าเดียวระหว่างไทย-กัมพูชาก่อนอีกด้วย เป็นการต่อยอดสร้างมูลค่าท่องเที่ยวระหว่างกัน

3.พรรคเพื่อไทยเสนอจัดตั้งทีมทำงานระดับพรรคการเมืองต่อพรรคการเมือง ให้ สส.แต่ละจังหวัด โดยเฉพาะ 7 จังหวัดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หารือร่วมกันถึงแนวทางพัฒนาการค้าชายแดน ตั้งเป้ามูลค่าการค้าระหว่างกัน 525,000 ล้านบาท ในปี 2025

แม้จะมีนัยแฝงทางการเมือง แต่ก็เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานของรัฐบาล เรื่องวีซ่าเดียวเที่ยวได้ 6 ประเทศ การเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน และการลดจุดฮอตสปอต แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ล้วนเป็นความคิดริเริ่มจากนายกฯเศรษฐา

ผมเสียดายเรื่องเดียวที่ยังไม่มีการเจรจาหาข้อยุติใน การสำรวจและขุดพลังงานจากพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ประโยชน์ คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พูดเสมอว่า ก๊าซจากพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ไทยได้ 6-20 เท่า เอาไปเข้าโรงแยกก๊าซ และทำธุรกิจปิโตรเคมีได้ มูลค่าก๊าซในแหล่งนี้มีเกินกว่า 10 ล้านล้านบาท ขึ้นอยู่ว่าแต่ละปีจะเอาขึ้นมาเท่าไหร่ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านล้านบาท

คุณพิชัยให้ข้อคิดว่า อย่าไปพูดเรื่องแบ่งแยกดินแดนเลย ทั้งโลกก็เป็นแบบนี้ ประเทศที่ติดกัน หากคุยเรื่องแบ่งแยกดินแดนมันไม่จบหรอก แนวทางที่ควรทำคือ เจรจาแค่เอาก๊าซขึ้นมาแบ่งผลประโยชน์กัน ซึ่งคนไทยได้ประโยชน์มากกว่า เพราะมีโรงกลั่น โรงแยกก๊าซ มีธุรกิจปิโตรเคมีคอล แต่กัมพูชายังไม่มี อีกทั้งคนไทยมี 66 ล้านคน กัมพูชามีประมาณ 17 ล้านคน คนไทยได้ใช้มากกว่าอยู่แล้ว

ที่ผ่านมามีการสร้างมายาคติมาทำลายกันทางการเมือง การเจรจาเรื่องนี้จึงไม่คืบหน้า ถึงแม้ยุคนี้ผู้นำไทยกับกัมพูชามีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ผมเชื่อว่า ก็อาจไม่สำเร็จง่ายๆ เสียดายโอกาสของประเทศ มีของดีอยู่แล้วแต่เอาขึ้นมาใช้ไม่ได้.

ลมกรด

คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม