ไม่ทราบว่าจะแสดงความเสียใจหรือดีใจในการที่รัฐบาลอาจประสบความสำเร็จ ทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจขณะนี้ “วิกฤติ” จริง สามารถใช้เป็นข้ออ้างผลักดันนโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตได้ มีรายงานข่าวว่า 4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้า และจีดีพีอาจโตในอัตราที่ต่ำ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการประเมินของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจของมหาวิทยาลัย ระบุว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัว 2.6% เปรียบเทียบกับการประเมินของสำนักอื่นๆ เช่นกระทรวง การคลัง ธปท. และสภาพัฒน์ ก็อยู่ระดับใกล้เคียงกัน

ไม่มีสถาบันใดที่ประมาณว่าจีดีพีไทยจะโตเกิน 3% ดร.ธนวรรธน์เสนอว่า ถ้าต้องการให้โตเกิน 3% ต้องใช้ปัจจัย 7 เช่น เร่งรัดการจ่ายงบประจำและงบการลงทุน ใช้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อกระตุ้นการบริโภคทุก 1 แสนล้านบาท จะเพิ่มจีดีพี 2.8% รวมทั้งเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการส่งออก

แต่จะต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสไม่กลายเป็นปัญหาไม่รู้จบ เหมือน กับโครงการรับจำนำข้าว ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นข้าวรับจำนำและเม็ดสวย คิดว่าจะนำออกมาขายหาเงินเข้าคลัง ข้าวที่ตรวจพบที่สุรินทร์ ในคลังสินค้า 2 คลัง มีข้าว 2.5 แสนกระสอบ

แต่มีเสียงทักท้วงจากผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่าเป็นข้าวเก่าที่เก็บมา 10 ปีแล้ว ใช้บริโภคไม่ได้ นี่คือช่องโหว่อีกช่องหนึ่ง ของโครงการรับจำนำข้าว ที่ก่อความเสียหาย ให้ทั้งรัฐบาลและชาวนา รัฐมนตรีต้องติดคุกอยู่สองคน เหตุที่มีโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเมื่อหลายทศวรรษก่อน ชาวนาเป็นคนส่วนใหญ่

จนมีคำกล่าวกันว่า “ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ” แต่ในที่สุดกลายเป็น “ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน” เพราะราคาข้าวไม่แน่นอน ชาวนา ซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าว แต่ไม่มีอำนาจกำหนดราคาข้าว เหมือนกับคนขายข้าวแกง แต่พ่อค้าข้าวคือ “ผู้กดราคาข้าว” นักการเมืองจึงคิดมาตรการช่วยเหลือชาวนา

...

หลายพรรคประกาศนโยบายพยุงราคาข้าว แต่แก้ปัญหาไม่สำเร็จ มีเพียงนโยบาย “ประกันราคาข้าว” ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้อยู่นาน 4 ปี สามารถช่วยเหลือชาวนาได้พอสมควร โดยไม่ต้องใช้งบมาก รัฐบาลไม่ต้องซื้อข้าวมาเก็บ จ่ายแค่ส่วนต่างที่ชาวนาขายข้าวในตลาด ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประกัน โครงการจึงดำรงอยู่ได้.

คลิกอ่านคอลัมน์ "บทบรรณาธิการ" เพิ่มเติม