นพดล ปัทมะ สส.เพื่อไทย ออกโรงปกป้องนายใหญ่ ชี้ "พิธา" อาจเข้าใจความหมายที่ "ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์คลาดเคลื่อน ชี้ โพสต์เฟซบุ๊ก "อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล" ใส่ร้ายทักษิณ ใช้จินตนาการล้ำเส้นไปมาก 

วันที่ 18 มี.ค. 67 นายนพดล ปัทมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์พาดพิง ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้กล่าวว่า เศรษฐกิจขณะนี้แย่กว่าช่วงต้มยำกุ้งนั้น ขอชี้แจงว่า สิ่งที่อดีตนายกฯ ทักษิณให้สัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ในขณะที่พบปะพี่น้องนั้น ท่านพูดในฐานะคนที่ห่วงใยบ้านเมือง ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง และการพูดก็มิได้หมายความว่าต้องการให้เห็นว่าเศรษฐกิจวิกฤติเพื่อใช้เป็นข้ออ้างนำไปผลักดันนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะดำเนินการ แต่ท่านพูดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ และนายพิธาเองก็ยอมรับว่าเศรษฐกิจนั้นซึมลึกมาร่วม 10 ปี และปีที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง มีสงครามหลายจุดทั่วโลก ซึ่งกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจเช่นขณะนี้ ถามประชาชนรู้คำตอบว่าเศรษฐกิจตอนนี้กระทบตั้งแต่คนยากจนไปจนถึงบริษัทใหญ่ ส่วนประเด็นที่ นายพิธา เตือนรัฐบาลอย่าบริหารเศรษฐกิจแบบหยดน้ำอย่างที่เคยชิน แต่ควรบริหารเศรษฐกิจแบบฐานราก ว่า ความจริง นายพิธา น่าจะรู้ดีว่าจุดแข็งของพรรคเพื่อไทยคือ เราเน้นเศรษฐกิจฐานราก เน้นการรดน้ำที่ราก นโยบายในอดีตสมัยพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายและความเหลื่อมล้ำให้ประชาชน เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค  การเข้าถึงแหล่งทุนเช่นกองทุนหมู่บ้าน หรือกองทุนเอสเอ็มแอล ล้วนนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำ ความจริงนายพิธา เคยไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล สมัยที่ท่านทักษิณเป็นนายกฯ น่าจะเข้าใจประเด็นนี้ดี

...

นายนพดล กล่าวถึงกรณีที่อดีตนายกฯ ทักษิณได้สัมภาษณ์ว่า คนไม่ชอบหน้าให้ต่างคนต่างอยู่นั้น นัยของคำพูดคือ แม้มีความเห็นต่าง แต่อยู่ในสังคมกันได้ ไม่ต้องขัดแย้งกัน และที่เดินทางไปเชียงใหม่ก็ไปไหว้บรรพบุรุษ และพบปะประชาชนตามตลาดบ้าง เยี่ยมชมผลงานสมัยที่เป็นนายกฯ บ้าง การให้ความเห็นเรื่องฝุ่น PM 2.5 ก็เพราะรักและเป็นห่วงประชาชน การไปเชียงใหม่ไม่ใช่การรณรงค์ทางการเมือง 

แต่การที่ นางสาวอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล โพสต์พาดพิงในทางที่เสียหาย ว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ เห็นแก่ตัว ไหนบอกจะเลี้ยงหลาน ไม่ปลง มักใหญ่ใฝ่สูง อยากเป็นสมเด็จแบบฮุนเซน นั้นตนถือว่าล้ำเส้นไปมาก เป็นการใช้จินตนาการ และใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม การวิจารณ์เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย และสังคมประชาธิปไตยไม่ควรใช้ "เฮทสปีช" หรือวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง และพรรคเพื่อไทยได้กำชับลูกพรรคแล้วว่า เวลาวิจารณ์ใครควรตั้งบนข้อเท็จจริงให้ความเป็นธรรม และอย่าไปใส่ร้าย หรือใช้ "เฮทสปีช" เพราะไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประชาธิปไตย.