“ศุภโชติ” สส.ก้าวไกล ถามรัฐบาล ยกเลิกมาตรการช่วยเหลือประชาชนเปลี่ยนมาเอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ หลังราคาเชื้อเพลิงลดลง แต่ค่าไฟเท่าเดิม ทั้งที่ราคาควรต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย ซัด แก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก
วันที่ 9 มีนาคม 2567 นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศอัตราค่าไฟสำหรับเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 ระบุ ยังสามารถรักษาค่าไฟไว้ที่ระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย ว่า ความเป็นจริงต้นทุนค่าไฟที่แท้จริงที่ประชาชนควรได้รับนั้นไม่ถึง 4 บาทต่อหน่วย และถ้าดูรายละเอียดในรายงานเอกสารรับฟังความคิดเห็นเรื่องค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สำหรับงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 มีตัวเลขหลายตัวที่แอบซ่อนสิ่งที่น่ากลัวไว้
นายศุภโชติ ตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า มาตรการการถัวเฉลี่ยราคาก๊าซธรรมชาติที่รัฐบาลใช้ในการลดค่าไฟให้พี่น้องประชาชนในงวดที่แล้ว ที่นำก๊าซธรรมชาติราคาถูกซึ่งปกติขายให้กับกลุ่มปิโตรเคมีอย่างเดียว มาถัวเฉลี่ยต้นทุนกับก๊าซธรรมชาติที่มีราคาแพง ตอนนี้ยังทำอยู่หรือไม่ เนื่องจากรายงานเอกสารรับฟังความคิดเห็นเรื่องค่าไฟรอบล่าสุด ไม่ได้พูดถึงมาตรการนี้เลย
“ทั้งๆ ที่การถัวเฉลี่ยก๊าซธรรมชาตินั้น แม้จะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับกลุ่มปิโตรเคมี แต่สามารถช่วยลดค่าไฟให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้อย่างน้อย 10 สตางค์ต่อหน่วย ถ้ารัฐบาลยกเลิกมาตรการนี้ นั่นหมายความว่ารัฐบาลเห็นหัวกลุ่มทุนมากกว่าประชาชนใช่หรือไม่”
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ตนเคยพูดว่า การที่รัฐบาลใช้แต่วิธีตรึงค่าไฟ ยืดหนี้ออกไปเรื่อยๆ จะทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น ถ้าเรามาดูยอดหนี้ที่ทางรัฐบาลแบกไว้ช่วงงวดที่แล้วกว่า 95,777 ล้านบาท แต่จากการที่รัฐบาลใช้วิธีเดิมๆ ทำให้หนี้สินที่แบกไว้รอบนี้ขึ้นไปเป็น 99,689 ล้านบาท ยังไม่รวมเงินที่คงค้างที่ ปตท. 12,076 ล้านบาท และค้างที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จํานวน 3,800 ล้านบาท รวมประมาณ 15,876 ล้านบาท ที่แอบเขียนซ่อนไว้ในรายงานเอกสารรับฟังความคิดเห็นเรื่องค่าไฟรอบล่าสุด งวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567
...
“ไม่รู้เหมือนกันจะแยกไว้ทำไม อาจจะกลัวตัวเลขทะลุแสนล้านหรือเปล่า แต่ไม่ทันแล้ว ยอดหนี้ภาครัฐตรงนี้แตะ 115,000 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว กฟผ. ที่เคยออกมาบอกว่ายังแบกหนี้ไหวอยู่ ก็อยากจะรู้ว่ายังไหวอีกเท่าไหร่”
จากผลพวงที่รัฐบาลเอาแต่ใช้มาตรการยืดหนี้ แบกหนี้ ทำให้ค่าไฟไม่สะท้อนความเป็นจริง ทั้งๆ ที่งวดนี้พี่น้องประชาชนควรได้ใช้ค่าไฟต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย หรือประมาณ 3.97 บาทต่อหน่วย จากราคาเชื้อเพลิงโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่ลดลง แต่ประชาชนกำลังต้องใช้หนี้ที่รัฐบาลก่อเอาไว้อยู่ดีจากการตรึงค่าไฟในอดีต และอีกเรื่องที่รัฐบาลทำอยู่และอาจคิดว่าจะหลอกประชาชนได้ คือการแอบยืดหนี้ โดยปกติแล้วหนี้ที่รัฐบาลแบกอยู่จะชำระกัน 6 งวดภายใน 2 ปี ซึ่งในอดีตก็ทำมาตลอด แต่รอบล่าสุดกลับเขียนว่าขอเพิ่มเป็นชำระ 7 งวด โดยไม่ระบุเวลา นี่คือการแอบยืดหนี้ออกไปอีกอย่างเห็นได้ชัด โดยหวังว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่คิด คือราคาเชื้อเพลิงจะถูกตามที่คาดการณ์ไว้ใช่หรือไม่ ทั้งๆ ที่รอบล่าสุดการคาดการณ์ที่คลาดเคลื่อนของต้นทุนจากเขื่อนทั้งในและต่างประเทศและโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ทำให้ประชาชนต้องแบกหนี้ไว้เพิ่มอีก 3,912 ล้านบาท
ในช่วงท้าย นายศุภโชติ ระบุว่า ปัญหาค่าไฟของพี่น้องประชาชน พรรคก้าวไกลย้ำมาโดยตลอดว่าต้องแก้ที่โครงสร้าง ไม่ใช่การลูบหน้าปะจมูกแบบนี้ไปเรื่อยๆ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลักภาระให้ประชาชน แล้วก็ชอบเปิดประมูลให้นายทุนแบบนี้ ต้องแก้ได้แล้ว ยิ่งช่วงนี้คนในรัฐบาลเอาแต่พูดด้านเดียวว่า การขึ้นค่าแรงจะเพิ่มต้นทุนผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการจะอยู่ไม่ได้ เห็นแบบนี้ก็อยากชี้ให้เห็นว่าค่าไฟเป็นต้นทุนที่ไม่น้อยเลยของผู้ประกอบการ ซึ่งรัฐบาลควรเข้ามาแก้ไขที่ต้นตอ สุดท้าย การตั้งงบกลางเพื่อช่วยเหลือค่าไฟในยามฉุกเฉิน สนับสนุนพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์สำหรับประชาชน หยุดการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือการเปิดตลาดพลังงานเสรีที่จะเพิ่มการแข่งขัน แข่งกันผลิตของถูกมาให้ประชาชน ส่งเสริมการทำธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยที่รัฐบาลแสดงความเป็นห่วงนั้น รัฐบาลจะทำเมื่อไร.