ดูจะสวนทางกันยังไงชอบกลอยู่เหมือนกัน ด้านหนึ่ง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ออกเดินสายไปต่างประเทศเป็นว่าเล่นทำหน้าที่ “เซลส์แมน” ตัวพ่อ

แต่อีกด้านหนึ่งไทยกับต่างชาติก็เกิดปัญหาต่อเนื่องเช่นกัน

เอาปัญหาทางปากก่อนมีอยู่ 2 ประเด็นที่พอจับความได้คือ รัฐบาลเมียนมาไม่พอใจที่สภาไทยจัดสัมมนาว่าถึงปัญหาประเทศของเขา

ซึ่งเรื่องนี้หากจัดสัมมนาลักษณะโดยองค์กรที่ไม่เกี่ยวกับรัฐหรือสภาก็ไม่น่ามีปัญหา แต่เมื่อ สส.จัดการเพื่อสนองแนวคิดของตนเองจึงขาดความรอบคอบ เพราะเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน เนื่องจากเมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้านและเป็นสมาชิกอาเซียน

อีกเรื่องคือนายกรัฐมนตรีได้พูดถึงการจัดคอนเสิร์ต “เทเลอร์ สวิฟต์” ที่สิงคโปร์ในลักษณะเหมือนมีข้อตกลงพิเศษห้ามจัดที่ประเทศอื่นในอาเซียน

คล้ายจะบอกว่าด้วยเรื่องนี้ทำให้ไทยไม่สามารถจัดได้

ทำให้นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ไม่ค่อยจะพอใจเท่าใดนัก ถึงกับให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีข้อตกลงพิเศษใดๆทั้งสิ้นเป็นการเข้าใจกันไปเอง

สรุปก็คือไม่ค่อยจะพอใจนายกรัฐมนตรีไทยเท่าใดนักที่อ้าง แบบนั้น

ทีนี้มาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย 2 เรื่องต่อเนื่องกันคือกะเทยไทยตบตีกับกะเทยฟิลิปปินส์ที่สุขุมวิท 11 ด้วยการยกพวกตะลุมบอนกันอุตลุดจนเป็นเรื่องเป็นราว บางคนออกความเห็นว่ากะเทยไทยนั้นเลือดนักสู้ “ระบบกะเทย” ไม่ยอมให้ใครมาหยามหมิ่น

อีกเรื่องที่ภูเก็ต “ฝรั่งสวิส” เตะแพทย์หญิงซึ่งเป็นคนไทยจนเป็นเรื่องเป็นราวสร้างความไม่พอใจจนกลายเป็นกระแสทำให้มีชาวภูเก็ตจำนวนหนึ่งชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่ฝรั่งคนนี้ให้ออกจากประเทศไทย

“เลือดขึ้นหน้า” เพราะถูกหยามเนื่องจากเหตุมาจากการที่แพทย์หญิงชาวไทยได้ไปนั่งที่บันไดริมชายหาดซึ่งฝรั่งได้เตะแต่อ้างว่าลื่นล้มและได้แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรอวดบารมีว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่

...

ก็เป็นเรื่องซิครับ...แบบนี้

แพทย์หญิงได้แจ้งความเพื่อดำเนินคดีจนก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจกระจายไปทั่วประเทศมีความเคลื่อนไหวที่ต้องการให้เล่นงานฝรั่งรายนี้

จับความได้ว่าฝรั่งคนนี้เป็นชาวสวิสที่เคยทำงานเป็น รปภ. มาก่อน จากนั้นได้เดินทางมาประเทศไทยได้ภรรยาเป็นคนไทยทำธุรกิจปางช้างจนร่ำรวย

ข่าวบอกว่าเขาดำเนินธุรกิจเป็นมูลนิธิรับบริจาคเงินจากต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือช้าง ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเขาเก็บค่าเข้าชมจากชาวต่างชาติหัวละ 2,500 บาท

ทำให้ธุรกิจไปได้ด้วยดีบวกกับเงินบริจาคด้วย จนมีฐานะร่ำรวยมีพูลวิลล่าติดทะเลและรู้จักกับบรรดาตำรวจและคนมีฐานะที่ภูเก็ตเป็นอย่างดี

นี่ทำให้เขาอวดเบ่งไปทั้งเมืองทั้ง 2 คนผัว-เมียเพราะมีพฤติกรรมไม่ต่างไปจาก “มาเฟีย” คล้ายกับพวก “จีนเทา” ที่ทำธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญจนถูกตำรวจจัดการไปก่อนหน้านี้

เหล่านี้คือปัญหาอย่างหนึ่งไม่ต้องถามว่าภูเก็ต-พัทยามี “มาเฟียต่างชาติ” หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง

ที่ตำรวจปฏิเสธว่าไม่มีนั้น “โกหก” ทั้งเพ!

ด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้บอกให้รู้ว่าการบังคับใช้กฎหมายของเรามีปัญหาโดยเจ้าหน้าที่ร่วมมือและมีผลประโยชน์ตอบแทน

ทำให้ “ฝรั่ง” หรือต่างชาติที่เข้ามาอยู่เมืองไทยอาศัยช่องทางเหล่านี้ทำมาหากินจนร่ำรวยและมีอิทธิพลสูงเพราะกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย

ต่างจากบางประเทศที่เข้มงวดจึงไม่มีปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้น!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม