"สมศักดิ์" ถกคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เตรียมทำกฎหมายส่งเสริมผลิตยาในประเทศ ขณะที่ผู้ประกอบการร่วมสะท้อนไทยมีของดีเพียบ-ผลิตเองได้ แต่ยังต้องนำเข้า ชี้ต่างชาติชื่นชมสมุนไพรไทย ผลักดันเป็นอุตสาหกรรมใหม่ได้ จี้ กระท่อมทั่วโลกรัก-แต่ไทยยังไม่มีความชัดเจน
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 67 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายกิตติกร โล่ห์สุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง, นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี, นายสุรชาติ เทียนทอง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการ เข้าร่วมประชุม
โดยก่อนการประชุม นายสมศักดิ์ ได้มอบรางวัลแก่สถาบันการศึกษาตัวอย่างด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เพื่อส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาของบุคลากรสุขภาพ 5 วิชาชีพ ได้มีการพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อใช้ยาอย่างสมเหตุผล ซึ่งสถาบันการศึกษาที่ได้รับรางวัล คือ วิชาชีพทันตแพทย์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, วิชาชีพเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, วิชาชีพสัตวแพทย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และวิชาชีพพยาบาล สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย, และคณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
...
จากนั้น นายสมศักดิ์ ได้กล่าวในที่ประชุมว่า วันนี้มีการพิจารณามาตรการส่งเสริมการผลิตยาในประเทศ เพื่อลดการนำเข้าและเพิ่มการส่งออก โดยที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นผู้ใช้มากกว่าผู้ผลิต ดังนั้นตนมองว่าการส่งเสริมตั้งโรงงานผลิตยาในประเทศไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งยินดีสนับสนุนการแก้กฎหมายหรือร่างกฎหมายใหม่ เพื่อให้มีการผลิตยาในประเทศได้ โดยที่ประชุมได้รายงานว่า ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ไทยผลิตเองได้ แต่ยังมีการนำเข้า ซึ่งในการประชุมวันนี้ ตนได้เชิญนายทอม เครือโสภณ ผู้ประกอบการขายยาสมุนไพรในต่างประเทศ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย
"โดยผู้ประกอบการได้สะท้อนว่า สามารถขายยาสมุนไพรในต่างประเทศ ปีที่ผ่านมาได้ถึง 48 ล้านเหรียญ แต่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายว่า ไม่มีสินค้าจากประเทศไทยเลย ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตในอเมริกา โดยวัตถุดิบหลักก็คือ ขมิ้น ดังนั้นจึงอยากส่งเสริมสนับสนุนให้มีการผลิตยาสมุนไพรส่งออกต่างประเทศ เพราะในช่วงสถานการณ์โควิดต่างชาติก็ได้ชื่นชม ที่ใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ซึ่งผู้ประกอบการมองว่า ถ้าผู้ผลิตได้ใบส่งออก สมุนไพรจะเป็นอุตสาหกรรมสุขภาพใหม่ได้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้มีการยกตัวอย่าง พืชกระท่อม ที่ต่างชาติรักทั่วโลก แต่เรายังไม่มีความชัดเจนว่า จะส่งออกได้อย่างไร ซึ่งมีการย้ำว่าไทยมีดีทุกอย่าง รวมถึงเห็ดขี้ควาย ที่เราได้เปรียบเต็มๆ ดังนั้นเราจึงมีโอกาสสูงในการพัฒนา แต่บางครั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจดูแลผู้บริโภคมากเกินไป จนทำให้ธุรกิจสมุนไพรหลายอย่างไม่เกิดขึ้น" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การต้องนำเข้าสินค้าที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะบางหน่วยงานมีความเชื่อว่า ซื้อของต่างประเทศน่าจะดีกว่า เช่น ในอดีตต้องมีการนำเข้าวัวขุน เพราะเชื่อว่าไทยเป็นเมืองร้อนไม่สามารถขุนวัวได้ ทำให้ต้องซื้อมาบริโภคอย่างเดียว แต่เมื่อตนได้ทดลองขุนวัวก็ปรากฎว่า สามารถทำเนื้อวัวขุนได้ใกล้เคียงการนำเข้า ดังนั้นเมื่อเราทราบว่ามีของดีคือสมุนไพร ก็ต้องทดลองใช้ แต่อาจจะต้องยอมผ่อนปรนระเบียบ เพื่อให้อุตสาหกรรมและการพัฒนาสามารถเดินหน้าได้ โดยสิ่งที่ต้องทำจากนี้ก็คือกฎหมาย กฎระเบียบ ที่ต้องเอื้อผู้ผลิตสมุนไพรด้วย
นอกจากนี้ ภายหลังการประชุม นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติในวันนี้ ได้มีการพิจารณาการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เพราะที่ผ่านมามีกรณีผู้ป่วยหาหมอหลายราย ก็จะได้รับยาซ้ำซ้อน ซึ่งทำให้เป็นโทษมากกว่าประโยชน์ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาการส่งเสริมให้มีการลงทุนผลิตยาภายในประเทศ โดยอาจจะต้องมีการทำกฎหมายในการส่งเสริม เพราะทุกวันนี้ไม่มีกฎหมายสนับสนุน จึงมีการหารือเพื่อไม่ให้ประเทศเสียโอกาส และเป็นการวางแนวทางการพัฒนาระบบยา เพื่อประโยชน์ของประเทศ