ผมชอบใจที่เห็น นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ออกมาสร้างความฮึกเหิมให้กับคนไทยและประเทศไทย เช่น การลุกขึ้นมาจุดประกายให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งด้านศูนย์กลางการบิน (Hub) ของภูมิภาค เมื่อวันที่ 1 มีนาคม แม้จะเป็นเรื่องเก่าที่ถูกกระทรวงคมนาคมดองมานานหลายปี และอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติเรื่องการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งไทยมาตั้งแต่ปี 2561 หรือ 6 ปีมาแล้ว และ นายกฯเศรษฐา ได้โพสต์ขอบคุณ คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีคมนาคม ท่าอากาศยานไทย ที่ช่วยจัดทำเรื่องนี้ให้กับนายกฯ เพื่อผลักดันไทยให้เป็นที่ 1 ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

นายกฯเศรษฐา เรียกร้องให้คนไทย ตื่นมาร่วมกันทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง

นายกฯเศรษฐา กล่าวบนเวทีอย่างฮึกเหิมว่า เราพร้อมมากที่จะฉายแววออกมาให้ชาวโลกได้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องการอัปเกรดและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฮับการบินของภูมิภาค ก่อนหน้านี้ปี 2548 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 68 ของโลก ตกลงมา 55 อันดับ ตนขอประกาศไว้เลยว่า 1 ปีนับจากนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต้องติดอันดับ 1 ใน 50 ของสนามบินที่ดีที่สุดในโลก และจะติด 1 ใน 20 ให้ได้ภายใน 5 ปี

ก็ต้องดูกันต่อไป ปี 2567 สนามบินสุวรรณภูมิจะขึ้นมาอยู่ใน 50 อันดับแรกได้หรือไม่

นายกฯเศรษฐา ได้พูดถึงปัญหาของสนามบินสุวรรณภูมิที่ไปเห็นมาเองมากมาย อาทิ การรอคิวนาน ทั้งการตรวจค้น การตรวจคนเข้าเมือง การออกกระเป๋าสัมภาระ ปัญหาความหนาแน่นของผู้โดยสาร ปัญหาการจัดคิวรถแท็กซี่ในสนามบิน เป็นต้น นายกฯบอกว่าปัญหาเหล่านี้ต้องแก้ไขให้ได้ภายใน 6 เดือน (ถ้าทำได้ก็ขอบคุณอย่างจริงใจ) ขณะนี้ได้เปิดให้บริการ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) รับผู้โดยสารได้เพิ่มจาก 45 ล้านคนเป็น 60 ล้านคนต่อปี เดือนตุลาคม 2567 จะเปิดใช้รันเวย์ที่ 3 เพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวบินเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และตั้งเป้าหมายให้ ผู้โดยสารรอขั้นตอนต่างๆแล้วต้องไม่เกิน 30 นาที ข้อนี้ถือสัญญาประชาคมเลยนะ

...

แผนระยะยาว จะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเป็น 150 ล้านคนต่อปี จะขยายอาคารผู้โดยสารทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก-ทิศใต้สร้างรันเวย์ที่ 4 สร้างอาคารเทียบเครื่องบินหลังที่ 2 (SAT-2) ปัจจุบัน สุวรรณภูมิขนส่งสินค้าอยู่ 1.2 ล้านตันต่อปี ขณะที่ สิงคโปร์ ฮ่องกง มีพื้นที่เล็กกว่าไทย แต่รองรับและขนส่งสินค้าได้มากกว่าไทย 2-3 เท่า

ผมฟังนายกฯแถลงแล้ว ก็ยังนึกไม่ออกตามไม่ทันว่า ถ้าสนามบินสุวรรณภูมิ มีผู้โดยสารมากถึง 150 ล้านคน สภาพการจราจรที่หน้าอาคารสนามบินที่แสนจะชุลมุนวุ่นวายในเวลานี้ สภาพจะเป็นอย่างไร เพราะยังไม่มีการพูดถึง แผนการขนส่งคนหรือผู้โดยสาร 150 ล้านคนออกมาแต่อย่างใด รวมทั้ง “เมืองสนามบิน” ที่เคยมีการพูดถึงสมัยแรก มีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ทำงานในสนามบิน กระทรวงคมนาคมคงไม่ได้ชงเรื่องนี้มาให้

ผมฟัง นายกฯเศรษฐา จุดประกายขายฝันแล้วก็เห็นด้วยทุกประการ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือนายกฯและรัฐบาลจะทำอย่างไร จึงจะสามารถสานฝันเหล่านี้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ความฝันเหล่านี้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติมานานแล้ว แต่เปิดประมูลทีไรก็มีข่าวทุจริตคอร์รัปชันทุกครั้ง ประเทศไทยตกอยู่ในวงจรอุบาทว์การทุจริตคอร์รัปชัน จึงถูกพวกโกงชาติบอนไซ โตไม่ได้

ไหนๆ นายกฯเศรษฐา ก็เปรียบเทียบ สนามบินสุวรรณภูมิ กับ สนามบินสิงคโปร์ สนามบินฮ่องกง ว่า มีพื้นที่เล็กกว่าไทยมากมาย แต่สามารถรองรับผู้โดยสารและขนส่งสินค้าได้มากกว่าไทย 2-3 เท่า พรุ่งนี้ผมจะนำเรื่อง Changi Terminal 5 ของสิงคโปร์มาเล่าสู่กันฟังครับ ของเขายิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน เผื่อเป็นแนวทางให้ นายกฯเศรษฐา นำไปแก้ปัญหาสนามบินของชาติต่อไป โลกวันนี้เขาพูดถึง “สนามบินแห่งอนาคต” กันแล้วครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม