ขนาด “ฮุน เซน” ยกให้เป็น “พี่ทูนหัว” และบินมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า อันแสดงให้เห็นถึงน้ำจิตน้ำใจที่มีต่อกันเมื่อเอ่ยปากเชิญให้ไปเยือนกัมพูชา ไม่ไปก็กระไรอยู่
14-15 มี.ค.67 “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้า “เพื่อไทย” พร้อมแกนนำพรรค เดินทางไปเยือนกัมพูชาตามคำเชิญชวนนั้น
ถือเป็นครั้งแรกที่หัวหน้า “เพื่อไทย” จะทำงานการเมืองโชว์ฟอร์มระดับนานาชาติ นอกจากจะพบกับ “ฮุน เซน” หัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลกัมพูชาแล้ว ยังพบกับประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา
ที่สำคัญคือ จะพบกับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้นำรุ่นใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่ง หลังจาก “ฮุน เซน” ผู้เป็นพ่อ ปล่อยมือให้ทำหน้าที่โดยขอไปอยู่ข้างหลัง
คนที่เคยสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อนคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นเพิ่มมากขึ้น
เป็นการทดลองงาน ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปสู่ความเป็นผู้นำสูงสุดในอนาคต
คนที่ปลื้มใจก็คงไม่ใช่ใครนอกจาก “2 พ่อ” คือ “ทักษิณ-ฮุน เซน” ที่สุดของพวกเขา เมื่อลูกชาย-ลูกสาวก้าวขึ้นมามีอำนาจแทนที่
นี่เป็นประเด็นระหว่าง 2 พรรค 2 ประเทศ!
ส่วนประเด็นของประเทศระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อสถานการณ์เป็นไปอย่างนี้ย่อมเอื้อให้การดำเนินนโยบายระหว่าง 2 ประเทศจึงเป็นไปในทางบวกไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ซึ่งมีการปูทางกันมาก่อนหน้านี้
ประเด็นหนึ่งที่เป็นเรื่องยากคงจะสานต่อได้ง่ายขึ้นคือ ผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่คาราคาซังมานานแล้ว
เพราะหากตกลงกันได้เร็วก็สามารถนำทรัพยากรจากใต้ทะเลขึ้นมาสร้างเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์แก่ 2 ประเทศได้เร็วเท่านั้น
...
พื้นที่ 2.6 หมื่น ตร.กม. ซึ่งมีน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติมหาศาลมูลค่าคาดว่าจะราว 20 ล้านล้านบาท ในพื้นที่ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยยังไม่แบ่งหรือขีดวงว่าพื้นที่เป็นของใคร เท่าไหร่
แต่จะนำผลประโยชน์ตรงนั้นมาแบ่งกันคนละครึ่งซึ่งจะเป็นช่องทางที่ทำให้สามารถตกลงกันได้ง่ายและเร็วที่สุด
อย่างที่ไทย-มาเลเซียเจรจาและประสบความสำเร็จลุล่วงไปก่อนหน้านี้จนสามารถนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้จนเกือบจะหมดแล้ว
ว่ากันว่าการเจรจาในเรื่องนี้ระหว่างไทย-กัมพูชาน่าจะเรียบร้อยคงใช้เวลาสักปีกว่าๆก็น่าจะจบและสามารถดำเนินต่อไปได้ทันที
มีประเด็นหนึ่งที่พูดกันมากคือ เกาะกูดที่กัมพูชาพยายามที่จะบอกว่าเป็นของเขาซึ่งไทยคงยืนยันได้ชัดเจน
เกาะนี้เป็นของเรา
ไม่มีทางยอมให้กัมพูชาอย่างเด็ดขาด!
“ทักษิณ” เคยเจรจาเรื่องนี้จนเกือบสำเร็จลุล่วง แต่รัฐบาลไทยในสมัยไม่ยินยอมอ้างว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง
แต่วันนี้ก็วนกลับมาที่เก่าเมื่อ “ทักษิณ” กลับมีอำนาจอีกครั้งภายใต้รัฐบาลที่ “เพื่อไทย” เป็นแกนนำ มีนายกรัฐมนตรีเป็นนอมินีชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน”
แต่บริบททางการเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว
ก็หวังว่าทุกอย่างจะสำเร็จด้วยดี ไม่มีใครแอบฉกผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้เข้ากระเป๋า เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องจับตาดูทุกย่างก้าว
เพราะผลประโยชน์มันมหาศาลจริงๆ!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม