รมช.กต.มั่นใจ ไทย-คาซัคสถาน เปิดตลาดการค้าและท่องเที่ยว หลัง 2 ประเทศลงนาม MOU ร่วม 3 ฉบับ เม.ย นี้ ขณะที่ภาคธุรกิจมั่นใจผลเยือนคาซัคสถาน หวังเปิดตลาดและการท่องเที่ยวไทยพุ่ง

วันที่ 25 ก.พ. 2567 นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำคณะนักธุรกิจไทยเยี่ยมชม Shymbulak Mountain Resort เมืองอัลมาตี เพื่อรับทราบแนวทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและกีฬาฤดูหนาวชั้นนำของคาซัคสถานโดยเฉพาะสกีรีสอร์ต และแหล่งท่องเที่ยวในช่วงหน้าร้อนซึ่งส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศ คาซัคสถานขยายตัวมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้นายจักรพงษ์ยังได้นำคณะนักธุรกิจไทยเยี่ยมชมกิจการและสถานที่สำคัญที่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจในเมืองอัลมาตี ที่เป็นแหล่งผลิตภัณฑ์อาหารในเมือง Almaty และชมสถานที่เกี่ยวกับบริการสุขภาพและการค้า โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่าหลังการลงนามร่วมกันระหว่างไทยและคาซัคสถานในเดือนเมษายนจะเห็นความชัดเจนของการค้าและการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยจะเปิดตลาดในคาซานเพิ่มขึ้นซึ่งตลอดกาลเดินทางเยือนคาซานทั้งเมือง Astana และดูงานและพูดคุยกับระดับภาครัฐของเมือง Almaty ก็ยิ่งได้เห็นถึง ความตั้งใจของรัฐบาลคาซานที่พร้อมเปิดรับประเทศไทยที่จะเข้ามาทำการค้าและลงทุนแต่ช่วงแรกอาจจะต้องศึกษาข้อมูลโดยเฉพาะเส้นทางการขนส่งที่ค่อนข้างจะใช้เวลาเวลานานแต่มั่นใจว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจะขยายตลาดใหม่ไปยังประเทศที่มีโอกาสทำการลงทุนได้ในระยะต่อไปโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียกลาง

...

ด้านนายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ คณะกรรมการบริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่าตอนมาไม่ได้คาดหวังคาซัคสถานถือเป็นประเทศใหม่และเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากมีประชากร 20 ล้านคน แต่มีรายได้ 5 แสนคนต่อหัว จึงมองเห็นศักยภาพตลาดของคาซัคสถานและเป็นโอกาสที่ดีมากที่จะโปรโมตการท่องเที่ยว การพยาบาลและการเกษตรกับอาหารที่เขายังขาดแคลนมากเพราะเป็นประเทศที่หนาวต้องการอาหาร ซึ่งสภาหอการค้าไทยดีใจที่ได้มาร่วมคณะกับรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ  และภาคธุรกิจก็ได้คอนแทกต์กับรัฐบาลคาซัคสถานซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ทั้งนี้เชื่อว่า ประเทศไทยจะตีตลาดที่คาซัคสถานได้แน่นอนและจะนำเอาเม็ดเงินหลายหมื่นล้านเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการเกษตรได้เป็นอย่างมาก และหากขาดคาซัคสถาน เพิ่มเที่ยวบินตรงไปประเทศไทยเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวในประเทศไทย ปีละ 240,000 คนเชื่อว่าจะเกินเป้าอย่างแน่นอน

นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ คณะกรรมการบริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ คณะกรรมการบริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

เรือเอก ชัชวรรณ สาครสินธุ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา กล่าวว่า คาซัคสถานเป็นตลาดทางเลือกที่รัฐบาลไทยจะมาเปิดตลาดโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่รัฐบาลขยายวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวอีก 6 เดือน และมั่นใจว่าหลังการเยือนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศคาซัคสถานในเดือนเมษายนนี้ที่จะมีการลงนาม MOU ร่วมกัน 3 ฉบับ จะยิ่งทำให้การลงทุนและการค้าของไทยในคาซัคสถานดีขึ้นอีก

นายฐิติ สุวรรณศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจคาเฟ่ อเมซอนต่างประเทศ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ร่วมเดินทางกับคณะมาเยือนครั้งนี้กล่าวว่า มาสำรวจการตลาดกับกระทรวงการต่างประเทศครั้งนี้ได้มาเปิดตลาดที่เอเชียกลางครั้งแรกและทราบว่าคาซัคสถานเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียกลางถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ของเราและจากการที่ได้ร่วมรับฟังระหว่างการหารือจากภาคเอกชนและรัฐบาลของคาซัคสถานคิดว่าโอกาสของยังมีเพราะธุรกิจร้านกาแฟในคาซัคสถานมีผู้ผลิตอยู่ไม่กี่ราย จึงยังพอมีโอกาสสำหรับแบรนด์ต่างชาติที่จะเข้ามาเปิดตลาดทำการค้า ประชาชนของเขามีโอกาสที่จะเปิดรับผลิตภัณฑ์ของต่างชาติและเขาก็ชอบอาหารไทย แต่อุปสรรคก็คือยังไม่รู้จักแบรนด์ของคาเฟ่อเมซอนเท่าไหร่ จึงอาจจะยากในการที่จะมาเปิดตลาดแต่โอกาสก็ยังมี และจากการที่ได้คุยกับสมาคมแฟรนไชส์และหอการค้าคาซัคสถานก็บอกว่าจะนำเอาผลิตภัณฑ์ของเราไปเผยแพร่ต่อ ซึ่งอาจจะมีคนสนใจธุรกิจ และยังเห็นว่านโยบายของรัฐบาลสอดคล้องกับนโยบายของORที่ต้องการจะบุกตลาดใหม่ที่มีการแข่งขันไม่รุนแรงหากรัฐบาลส่งเสริมสนับสนุนด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของFTA หรืออะไรก็ตามก็จะทำให้สินค้าที่ส่งมาจากเมืองไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดภูมิภาคและในทางกลับกันคิดว่าหากเศรษฐกิจในประเทศของเรายังไม่กระเตื้องการส่งออกก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ดีขึ้น

นายฐิติ สุวรรณศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจคาเฟ่ อเมซอนต่างประเทศ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR)
นายฐิติ สุวรรณศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจคาเฟ่ อเมซอนต่างประเทศ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR)


นพ.ยงยุทธ มัยลาภ ผู้อำนวยการสายบริหารการสื่อสาร และพัฒนาสุขภาพสัมพันธ์องค์กร เครือโรงพยาบาลพญาไท กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า มาครั้งนี้ก็เพื่อจะกระชับความสัมพันธ์และสร้างความรับรู้ให้กับทั้งภาคส่วนของรัฐบาลคาซัคสถาน ประชาชน หน่วยงานราชการและเอกชนของเขาในด้านศักยภาพของการรักษาพยาบาลเพราะที่ผ่านมาชาวคาซัคสถานก็เดินทางไปประเทศไทยเป็นจำนวนมากเฉลี่ยต่อปีเกือบ 200,000 คน และมีโอกาสได้ใช้บริการทางการแพทย์ของไทยอยู่บ้างเวลาที่ป่วยไข้แต่อาจยังไม่ทราบว่าศักยภาพของประเทศไทยในด้านการรักษาพยาบาลด้านอื่นๆมีมากน้อยแค่ไหนฉะนั้นโอกาสก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่มีโอกาสได้มาทำความรู้จักและให้ความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหวังว่า ประเทศไทยจะได้มีโอกาสต่อยอดจากส่วนนี้ต่อไปอีกเพราะมาครั้งนี้ก็ได้รู้จักกับหลายหน่วยงานที่มีความสำคัญที่จะได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับชาวคาซัคสถานจึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในระยะยาวต่อไป ซึ่งก็สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ปีนี้พุ่งเป้าในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคมหลายด้านทั้งเรื่องสุขภาพและ การท่องเที่ยวเรื่องของการส่งออกและเปิดตลาดการค้าใหม่และประเทศคาซัคสถานก็ถือเป็นประเทศใหม่ในมุมของหลายฝ่ายโดยเฉพาะในเรื่องให้บริการด้านสุขภาพมองประเทศนี้เป็นเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจมาก รวมถึงประเทศเขามีอัธยาศัยไมตรีที่ดีกับประเทศไทยและมีความสุขกับการที่ได้มาประเทศไทย คิดว่าหากเราได้ให้ความเข้าใจและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก