“เศรษฐา” โชว์วิสัยทัศน์ 8 ด้านสร้างโอกาสให้ประเทศ จุดพลุปลุกพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง ร่วมกันส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลาน ดันไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว ฮับการแพทย์และสุขภาพศูนย์กลางอาหาร การบิน การเงิน แหล่งผลิตยานยนต์แห่งอนาคต เมืองเศรษฐกิจดิจิทัลและศูนย์กลางการเงินโลก ชูเสน่ห์มวยไทยดึงดูดนักท่องเที่ยว ตีปี๊บดัน จ.น่าน เป็นเมืองมรดกโลกคู่หลวงพระบาง ตั้งเป้า 4 ปียกระดับเกษตรกรดึงศักยภาพพุ่ง 3 เท่า “ก้าวไกล” ตามขยี้พักโทษ “ทักษิณ” “ณัฐชา” ข้องใจเงื่อนไขอายุเกิน 70 ปี “ทวี” แจงสอบตกเกณฑ์ชราภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ได้ต่ำกว่า 11 คะแนนจาก 20 คะแนน “ชัยชนะ” จองกฐินรอถล่มปมสองมาตรฐาน บ้านจันทร์ส่องหล้าเงียบสงบไร้แขกเยี่ยมอดีตนายกฯ “ตะวัน” ทรุดอดข้าวอดน้ำ 9 วัน ย้ายนอน รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ส่ง “บุ้ง” กลับเข้าเรือนจำ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดทำเนียบรัฐบาลแถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลในการที่จะสร้างโอกาส เพื่อส่งต่ออนาคตให้ลูกหลาน ผ่านการพัฒนาและต่อยอดสร้างรายได้เข้าประเทศจาก 8 นโยบายสำคัญ

นายกฯโชว์ 8 วิสัยทัศน์นำไทยเป็น 1

 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” โดยเป็นการกล่าววิสัยทัศน์ 8 ด้าน ได้แก่ 1.ศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว 2. ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ 3.ศูนย์กลางอาหาร 4. ศูนย์กลางการบิน 5. ศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค 6. ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต 7. ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล และ 8.ศูนย์กลางทางการเงิน ทั้งนี้ มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ หัวหน้าส่วนราชการ ปลัดกระทรวง อธิบดี ธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคเอกชน เข้าร่วม โดยนายเศรษฐากล่าวช่วงหนึ่งว่า ความขัดแย้ง ปัญหาการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บดบังศักยภาพ บดบังแสงสว่างของประเทศไทย ตั้งแต่ 6 เดือนที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ความสงบ ความสมัครสมานสามัคคี ความร่วมใจกันของพวกเรา เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการที่เราจะเริ่มต้นให้ชาวโลกรู้ว่าแสงสว่างในประเทศไทยเกิดขึ้นแล้ว

...

ชูเสน่ห์มวยไทยดึงดูดนักท่องเที่ยว

นายกฯกล่าวว่า การเฟ้นหาซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อเสน่ห์ของประเทศไทย สำคัญและนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ รัฐมนตรีทุกคนเห็นด้วยและร่วมมือร่วมใจผลักดันให้เกิดขึ้น เช่น มวยไทยผลักดันได้ง่ายมาก เพราะคำว่ามวยไทยใช้คำทับศัพท์ มีคำว่าไทยอยู่ ประเทศอังกฤษมีค่ายมวยไทยกว่า 4,000ค่าย มีครูมวยไทยออกไปสร้างอาชีพนำเงินกลับมาได้มาก กางเกงมวยไทยแฟชั่นดีไซเนอร์ระดับโลกนำไปใส่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งกางเกงมวยไทย มงคลที่รัดแขนจะเป็นของที่ระลึก เมื่อนักท่องเที่ยวบินมาไทยจะสร้างเงินให้คนไทย รัฐบาลควรต้องสนับสนุนเชิญชวนให้ชาวโลกมาเที่ยวเมืองไทย ทำความรู้จัก เราจะจัดงานศิลปวัฒนธรรม คอนเสิร์ตระดับโลก เมื่อ 2วันก่อนที่พูดไปเป็นดราม่านิดหน่อยเรื่องเทย์เลอร์ สวิฟต์ ศิลปินนักร้องระดับโลก ได้เซ็นสัญญากับสิงคโปร์ว่าหากจะมาแสดงคอนเสิร์ตในอาเซียน ขอให้มาแสดงคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์ประเทศเดียวในอาเซียน ทำให้คนที่จะเข้าไปดูคอนเสิร์ตจากประเทศต่างๆบินเข้าสิงคโปร์ จับจ่ายใช้สอยที่สิงคโปร์ เราเอาศิลปินใหญ่ระดับโลกมาแสดงในประเทศไทยได้จะดึงดูดให้คนเข้ามาใช้จ่ายในไทยได้เป็นจำนวนมากและเราจัดกิจกรรมอื่นล้อไปกับคอนเสิร์ตได้ด้วย และควรมีการแก้ไขกฎหมายปรับเปลี่ยนเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้สอดคล้องกับบริบทโลกด้วย

ผลักดันน่านมรดกโลกคู่หลวงพระบาง

นายกฯกล่าวอีกว่า อยากชวนให้ทุกคนมาปลุกพลัง ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว เราต้องการ “การใส่ใจ ไม่ใช่แค่เพียงใส่เงินงบประมาณลงไปอย่างเดียว” ที่การท่องเที่ยวไทย ต้องได้รับการส่งเสริมต่อยอดทุกรูปแบบ ทุกจังหวัด ทั้งเมืองหลักและเมืองรองต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว บางจังหวัดผลักดันให้เป็นมรดกโลกได้ อย่างจ.น่าน รัฐบาลจะผลักดันให้มรดกโลกคู่หลวงพระบาง สปป.ลาว ให้ได้เชื่อมโยง 2 เมืองด้วยกัน ซึ่งพร้อมแล้วที่จะทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศ เป็น Homestay ของคนทั่วโลก รัฐบาลจะสนับสนุนศักยภาพของทุกจังหวัดให้มีลูกค้าเข้ามาเที่ยว มากิน มาใช้ ตลอดทั้งปี เอาเงินมาส่งถึงมือทุกคนและที่สำคัญจะเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ (Medical Hub) เป็นจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยราคาสมเหตุสมผล ค่ารักษาถือว่าถูกเมื่อเทียบกับการไปหาหมอในหลายประเทศ รวมถึงแพทย์ไทยมีชื่อเสียงด้านการดูแลสุขภาพ สปาไทย นวดแผนไทย แพทย์แผนไทย ควบคู่คนไทยต้องมีระบบรักษาพยาบาลที่ดี ทุกคนจะต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และสมศักดิ์ศรีด้วย 30 บาทรักษาทุกที่ ไทยจะเป็น Medical Hub ของ Southeast Asia

ในน้ำมีปลาในนามีข้าวในเป๋ามีตังค์

 นายเศรษฐากล่าวว่า การยกระดับเกษตรกรรม ประเทศไทยเป็นประเทศที่เกษตรกรรมมีรายได้ต่ำ ซึ่งรัฐบาลทุกพรรคอยากดึงศักยภาพเกษตรกรขึ้นมา 3 เท่า ภายใน 4 ปีของรัฐบาลนี้ นอกจากนี้จะส่งเสริมการผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด รวมไปถึงพืชแห่งอนาคต เช่น เห็ดแครง โดยในสัปดาห์หน้าจะลงไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อดูว่าอาหารการกินมีอะไรดีบ้าง เพื่อนำไปเสนอ อย่างปลานิลสายน้ำไหล ตัวละ 3,000-4,000 บาทที่ภาคใต้ที่จะลงไปจะดึงศักยภาพตรงนี้ออกมา การไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ไม่ต้องพูดถึงความไม่สงบ ไม่ต้องพูดถึงความขัดแย้ง เราจะพูดถึงโอกาสเพียงอย่างเดียวที่รัฐบาลนี้จะนำมาให้ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านนโยบายต่างๆในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่ตนขอเติมอีกอย่างมีตังค์ในกระเป๋า ไม่หยุดแค่นี้ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไม่มีตังค์ในกระเป๋าไม่ได้

มั่นใจไทยศูนย์ผลิตรถไฟฟ้าใหญ่สุด

นายกฯกล่าวอีกว่า สำหรับศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เรามั่นใจว่าประเทศไทยจะเป็นจุดศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด ขณะที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล คนไทยไม่ได้เก่งน้อยในด้านเทคโนโลยี แต่เราขาดโอกาส ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าสู่ดิจิทัล ทำให้เกิดเจ้าสัวน้อยในวงการอุตสาหกรรมได้ เรามีบุคลากร มีสถานศึกษา เวลาไปไหนจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนบุคลากร โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple มาขอเจอทำให้ภูมิใจมาก แม้จะไม่ได้พูดตรงๆว่าต้องการอะไร แต่เขารู้สึกประทับใจว่าประเทศไทยมีนักพัฒนาแอปต่างๆกว่า 3 แสนคน ถือว่าเยอะมาก จึงอยากหาโอกาสมาร่วมกับไทย เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นโอกาสดังกล่าวเพื่อเข้าถึงโอกาสเหล่านั้น ต้องเก็บบุคลากรเหล่านี้ไว้ในประเทศ ไม่ให้เขาอยากอยู่นอกประเทศ เพื่อพัฒนาประเทศต่อ

โอ่ไทยเนื้อหอม บ.ยักษ์ใหญ่อยากลงทุน

นายกฯกล่าวว่า วันนี้บริษัทใหญ่ๆอยากลงทุนในประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Huawei Microsoft Google ถ้าเป็นเช่นนี้ลูกหลานเราจะมีเงินเดือนเป็นล้าน เราจึงต้องพยายามดึงดูดบริษัทเหล่านี้มาลงทุนในประเทศไทย เพราะลงทุนครั้งหนึ่งเป็นหลายๆล้านบาท จะเป็นสารตั้งต้นดึงดูดให้อุตสาหกรรมใหญ่ๆอยากมาอยู่ในประเทศไทย จะจ้างคนได้ในราคาสูงมาก เดือน มี.ค.จะเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาแล้ววันที่ 14 มี.ค. นางจีนา ไรมอนโด รมว.พาณิชย์สหรัฐอเมริกา จะบินมาเจรจาเรื่องนี้โดยเฉพาะ น่ายินดีที่ประเทศไทยอาจมีบริษัทผลิตชิปมาลงทุน เรามีกองทุนเพิ่มขีดความสามารถของประเทศเพื่อดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามา แต่เราต้องแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อเพิ่มความรู้ความสามารถ เพราะฉะนั้นเรื่องการศึกษาสำคัญ

ฉายแสงสว่างส่งต่ออนาคตให้ลูกหลาน

“รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะปีนี้เป็นปีมหามงคล เราต้องให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดของบ้านเมือง รัฐบาลนี้ได้สั่งการแล้วว่าเรื่องถนนเรื่องสายไฟลงดิน ขยะ ต้องบริหารจัดการไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะเป็นปัญหาที่กัดกร่อนสังคมมา เรื่องที่พูดมาทั้งหมดอยากจะฉายแสงสว่างอนาคตที่ดี และหวังว่าวันนี้ประชาชนจะเห็นอนาคตที่ดี และพวกเราทุกคนที่นั่งในที่นี้ เป็นบุคคลที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงได้ เราทุกคนจะร่วมกันในวันนี้ส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลานเราทุกคนแน่นอน”

6 เดือนพื้นที่ทับซ้อนแนวเขื่อนยุติ

ต่อมาเวลา 14.56 น. นายเศรษฐาทวีตภาพหารือร่วมกับนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 4 สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่รัฐสภา พร้อมทวีตข้อความผ่าน X ว่า จากการลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อเดือน ธ.ค.ได้รับฟังความทุกข์ของพี่น้องประชาชน จาก สส. และคนในพื้นที่ เรื่องที่ดิน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ที่มีข้อพิพาทตั้งแต่การออก พ.ร.ฎ.กำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน พ.ศ.2481 ต่อเนื่องมาจนถึงเริ่มก่อสร้างเขื่อนศรีนครินทร์เมื่อปี 2524 ที่มีปัญหาทับซ้อนกันกับแนวเขตของเขื่อนหลังจากที่สั่งการให้เร่งแก้ไขปัญหา เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ได้รับรายงานจากเจ้ากรมแผนที่ทหารว่า ตอนนี้ได้มีการสำรวจแผนที่ใหม่ และพบว่าตอนนี้แนวเขตของเขื่อนศรีนครินทร์ที่สำรวจโดยกรมอุทยานมีความคลาดเคลื่อนจากสภาพพื้นที่จริง ซึ่งไม่มีการทับซ้อนกับพื้นที่ครัวเรือนกว่า 900 ครัวเรือน ขั้นตอนต่อไปทางกรมแผนที่ทหารจะส่งมอบแผนที่ที่สำรวจใหม่ให้กรมอุทยานฯ เพื่อนำเรื่องเสนอ ครม.โดย รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับเปลี่ยนประกาศกฤษฎีกาดังกล่าวภายใน 6 เดือนข้างหน้า ข้อพิพาทจะกลายเป็นข้อยุติ ความกังวลของพี่น้อง อ.ศรีสวัสดิ์ จะกลายเป็นความสบายใจ เพราะมีความมั่นคงทางที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน

เร่งจูงใจชาวไร่ลดเผาอ้อย

จากนั้นเวลา 16.00 น. นายเศรษฐาทวีตข้อความผ่าน X เกี่ยวกับปัญหา PM2.5 มีเนื้อหาสรุปว่า “ได้รับรายงานว่า จ.สุพรรณบุรี และลพบุรี มีอ้อยที่เผาก่อนตัดส่งโรงงานเกือบ 2 ล้านตัน เห็นตัวเลขแล้วตกใจ แม้รัฐบาลออกมาตรการต่างๆไป จนทำให้ตัวเลขการเผาหลังการเก็บเกี่ยวของทั้ง 2 จังหวัดนี้ลดลงจากปีก่อน 5-10% แต่ประชาชนยังหายใจลำบากจากผลกระทบของการเผาอยู่ เพราะมีโรงงานน้ำตาลที่รับอ้อยเข้าหีบอีกหลายจังหวัด ตัวเลขกลมๆ อ้อยมีผลผลิต 10 ตันต่อไร่ 2 จังหวัด มีอ้อยที่เผาเข้าโรงงาน 2 ล้านตัน เท่ากับทั้ง 2 จังหวัด มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยเผาอ้อยก่อนตัดถึง 200,000 ไร่ แต่จากรายงานการเผาอ้อยภาพรวมของทั้งประเทศลดลงประมาณ 5% จากปีที่แล้ว ปีนี้อยู่ที่ 28% นี่คือปัญหา PM2.5 ที่รัฐบาลต้องรีบปรับแนวทางแก้ไข เพราะค่าฝุ่นใน กทม. และจังหวัดใกล้เคียงหนักช่วงนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการเผา ดังนั้น ช่วงที่โรงงานน้ำตาลใกล้ปิดหีบนี้ ต้องมีการรณรงค์ทำความเข้าใจกับชาวไร่อ้อยที่ยังไม่ตัดอ้อยให้งดการเผา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดการรณรงค์ เพิ่มมาตรการจูงใจ ลดการเผาลงให้มากกว่านี้ สำคัญที่สุดอยากขอความร่วมมือกับเอกชน โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ให้สนับสนุนเกษตรกรลดการเผาด้วย ส่วนมาตรการระยะยาวจะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยต่อ เพราะยังมีโรงงานน้ำตาลและไร่อ้อยในจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศที่ต้องปรับแนวทางร่วมกันครับ”

“อนุทิน” อำไม่บอกได้คิวพบ “ทักษิณ”

เมื่อเวลา 10.17 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้รับการพักโทษมาอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ได้คิวที่จะเข้าไปพบนายทักษิณแล้วหรือยัง นายอนุทิน หัวเราะตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “ได้ก็ไม่บอก” ขณะที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมและ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิเสธการตอบคำถามถึงนายทักษิณ โดยระบุเพียงสั้นๆว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตน

ก้าวไกลตามขยี้พักโทษ “ทักษิณ”

เมื่อเวลา 11.25 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุมเพื่อ พิจารณากระทู้ถามสดของนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ที่สอบถาม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ถึงหลักเกณฑ์การพักโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า การพักโทษของนายทักษิณว่าเข้าเงื่อนไขตามกฎหมายและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการพักโทษ 3 ฉบับหรือไม่ คือ 1. พ.ร.บ.กรมราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 เป็นนักโทษเด็ดขาดที่มีความประพฤติดี 2.กฎกระทรวง พ.ศ.2562 3.ประกาศกรมราชทัณฑ์ พ.ศ.2564 เรื่องหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักโทษเด็ดขาดเข้าโครงการพักการลงโทษกรณีเป็นเหตุพิเศษ โดยพิจารณาจาก 2 เกณฑ์คือ 1.ป่วย 7 โรคตามที่กำหนด ได้แก่ โรงร้ายแรงที่รักษาไม่หายขาด โรคระยะวิกฤติเสี่ยงต่อการตาย โรคที่ทำให้ดูแลตัวเองไม่ได้ ไตวายระยะสุดท้าย (ต้องฟอกไต) มะเร็งระยะสุดท้าย เอดส์ระยะสุดท้าย สมองเสื่อม ที่มีโอกาสเสียชีวิตหากอยู่ในเรือนจำต่อ

ข้องใจเงื่อนไขอายุเกิน 70 ปี

นายณัฐชากล่าวว่า หรือเข้าหลักเกณฑ์ข้อ 2 คือกรณีชราภาพ อายุเกิน 70 ปี และต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วย มีเกณฑ์ที่ใช้วัดในแบบทดสอบ 10 ข้อ ถ้าได้ไม่เกิน 11 คะแนน จึงอยู่ในเกณฑ์พักโทษ ประกอบด้วย 1.กินอาหารด้วยตนเองไม่ได้ 2.ใช้ห้องน้ำด้วยตนเองไม่ได้ 3.ชำระร่างกายด้วยตนเองไม่ได้ 4.สวมเสื้อผ้าเองไม่ได้ 5.เดินไปมาภายในบ้านไม่ได้ 6.ลุกจากเตียงไปนั่งเก้าอี้ไม่ได้ 7.ขึ้นบันไดด้วยตนเองไม่ได้ 8.อาบน้ำด้วยตนเองไม่ได้ 9.กลั้นอุจจาระไม่ได้ 10.กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ถามว่านายทักษิณช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตามหลักเกณฑ์เหล่านี้อย่างไรบ้าง และแพทย์ 2 คนที่รับรองอาการป่วยนายทักษิณคือใคร ประเมินกี่ครั้ง เพราะเป็นหมอเทวดารับรองว่านายทักษิณป่วยเป็นโรคระยะร้ายแรงช่วง 180 วันที่ผ่านมา แต่วันที่ 181 กลับไปอยู่บ้านได้ และวันที่ 182 รับแขกบ้านแขกเมืองได้

“ทักษิณ” สอบตกเกณฑ์ช่วยเหลือตัวเอง

ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงกระทู้ถามสดว่า การพักโทษมี 2 อย่างคือ พักโทษทั่วไปกับพักโทษเนื่องจากเหตุพิเศษที่เริ่มจากความเห็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ส่งเรื่องคณะอนุกรรมการพักโทษ 19 คน พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งให้ รมว.ยุติธรรมอนุมัติ การพักโทษล่าสุด มีนักโทษอยู่ในเกณฑ์พักโทษ 945 คน ผ่านการพิจารณา 930 คน ไม่ผ่านการพิจารณา 15 คน ทั้งหมดพิจารณาจากหลักฐานการแพทย์ทั้งสิ้น การพักโทษมีมาตั้งแต่ปี 2546 ปัจจุบันมีผู้ได้รับพักโทษแล้ว 2,420 คน ในกรณีที่สอบถามมาเรื่องหลักเกณฑ์ชราภาพ อายุ 70 ปีช่วยเหลือตัวเองได้มากน้อยเพียงใด มีคะแนนเต็ม 20 ถ้าได้คะแนนเกิน 11 จะไม่อยู่ในเกณฑ์พักโทษ แต่กรณีนี้ผลการประเมินได้คะแนนต่ำกว่า 11 เล็กน้อย เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ และยังมีผู้ต้องขังอายุเกิน 70 ปี อีก 1 คนที่ได้คะแนนต่ำกว่า 11 เช่นกัน ยืนยันดำเนินการตามกฎหมาย มีทั้งคณะแพทย์ พยาบาลร่วมกันประเมิน อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ห้ามเปิดเผยข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล จะใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารมาขอเปิดเผยข้อมูลไม่ได้ ถ้าผู้ป่วยไม่ยินยอม กรณีนี้มีใบยืนยันไม่ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลสุขภาพส่งมาให้ตน แพทย์ที่วินิจฉัยมีความเป็นกลาง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทั้งหมด

ปชป.จองซักฟอก ยธ. 2 มาตรฐาน

ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรี ธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่ภาคใต้ กล่าวถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ปัญหาการทำงานของรัฐบาล แต่เป็นปัญหาที่สังคมสงสัยว่า นายทักษิณได้รับสิทธิการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน ต่างจากนักโทษปกติหรือไม่ ถ้ากระบวนการทั้งหมดไม่ถูกต้องตามระเบียบ เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องชดใช้กรรม ขอให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกมาชี้แจงกับสังคมให้ชัด ลูกผู้ชายเป็นเลือดชาวใต้กล้าทำต้องกล้ารับ ถ้าชี้แจงไม่ได้ขอให้จำไว้เลยว่า จะเป็นจำเลยจนสิ้นลมหายใจ รวมถึงปัญหาที่นายกฯให้สัญญากับประชาชน ทั้งแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 9 เดือนที่แล้ว นายกฯปราศรัยทุกจังหวัดจะแจกเงินให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไป จะไม่กู้เงิน ถึงวันนี้ยังอยู่กับที่ ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทประกาศไว้ กระทรวงแรงงานบอกว่า ทำได้สูงสุดไม่เกิน 400 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ก็ยังไม่ทำ หรือทำไม่ได้จริง อยากถามนายกฯเป็นอัลไซเมอร์สมองกลับหรือไม่ จะได้ฝากโอเมกา 3 ไปให้รื้อฟื้นความจำ

 “จันทร์ส่องหล้า” สงบไร้แขกเยี่ยม

วันเดียวกัน บรรยากาศที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 บ้านพักของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯปิดบ้านเงียบตลอดทั้งวัน มีแต่รถของคนในครอบครัวเท่านั้นที่เข้า-ออก อีกทั้งไม่มีรายงานข่าวว่า จะมีบุคคลสำคัญเดินทางมาเยี่ยมนายทักษิณแต่อย่างใด ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ และสายตรวจของ สน.บางพลัด เฝ้าสังเกตการณ์รักษาความปลอดภัยในละแวกใกล้เคียง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ไม่ให้จอดรถขวางหน้าบ้าน และบริเวณใกล้เคียง เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ กระทั่งเวลา 13.30 น. นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาลอ้างนัดเข้าพบนายทักษิณไว้ล่วงหน้าผ่าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยให้ทีมงานไปกดกริ่งหน้าบ้านหลายครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับใดๆจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางพลัด เข้าไปห้ามเจรจาให้ยื่นหนังสือฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ แต่นายสันธนะปฏิเสธปักหลักรอที่หน้าบ้าน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งกับนายสันธนะว่า นายทักษิณ ไม่ให้นายสันธนะเข้าพบจึงยอมเดินทางกลับ

กมธ.นิรโทษวางกรอบสมานฉันท์

ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรากฎหมายนิรโทษกรรมสภาฯให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมาธิการว่า วาระหลักที่หารือคือเป้าหมายการนิรโทษกรรม ให้ กมธ.ทุกคนพูดข้อเสนอว่าการนิรโทษกรรมครั้งนี้จะต่างจากการศึกษาเรื่องความปรองดองเกือบทุกชุด ยกเว้นชุดสมัยรัฐบาลที่แล้ว ก่อนหน้านี้การศึกษาข้อเสนอการนิรโทษกรรมต่างจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงได้เสนอว่าครั้งนี้ต้องไม่พิจารณาแค่นิรโทษกรรมอย่างเดียว แต่ให้มองภาพรวมการสร้างความสมานฉันท์ ในการเมืองด้วย โดยมีการนิรโทษกรรมทางการเมืองเป็นหนึ่งในนั้น และในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่ยุติ เป้าหมายควรเพื่อที่จะหยุดการขยายความขัดแย้ง เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือความรุนแรงที่มากขึ้นในอนาคต และหาข้อตกลงที่ยอมรับร่วมกันได้ การพิจารณาความสมานฉันท์ไม่ได้มีนิรโทษกรรมอย่างเดียว กระบวนการทำให้คู่ขัดแย้งทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยลดความหวาดระแวง สร้างการมีส่วนร่วม อาจเป็นเงื่อนไขที่ต้องทำให้เกิดขึ้นก่อนจะทำนิรโทษกรรมก็ได้ ขอย้ำว่าต้องมีทุกเรื่องและเป็นหลักคิดสำคัญที่ตนนำเสนอไว้

“ต๋อม” รับหากรวม ม.112 เดินต่อไม่ได้

เมื่อถามถึงความเห็นพรรคการเมืองที่มีจุดยืนเรื่องมาตรา 112 และการทุจริตแตกต่างกัน นายชัยธวัชกล่าวว่า ความเห็นเรื่องทุจริตคงไม่เห็นต่างกัน แต่มาตรา 112 อาจเห็นต่างบ้างจึงเป็นวาระที่ให้นำเสนอเป้าหมายก่อนว่าเป็นอย่างไรจึงค่อยมาถกกันว่าการออกแบบนี้จะตอบโจทย์หรือไม่ หากรวมมาตรา 112 ไปแล้วอาจเป็นอุปสรรคว่า ทำนิรโทษกรรมไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่รวมอาจไม่ตอบโจทย์หยุดความขัดแย้งปัจจุบัน และแนวโน้ม กมธ.อาจไม่สรุปแค่ตัวเลือกเดียว อาจทำตัวเลือกหลายแนวทางเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย เราต้องพิจารณากว้างกว่านั้น ไม่เหมือนในต่างประเทศที่เหตุการณ์จบไปแล้ว แต่ตอนนี้ความขัดแย้งยังดำเนินอยู่ บางกรณีที่เห็นต่างกันอาจวางเงื่อนไขก่อนเพื่อทำความเข้าใจและนำไปสู่การนิรโทษกรรม เมื่อถามว่ามีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองอดอาหารเรียกร้องความเป็นธรรม พรรค ก.ก.จะดำเนินการอย่างไร นายชัยธวัชกล่าวว่า พรรคยังไม่สามารถเกี่ยวข้องได้ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แต่พรรคเป็นห่วง หากเราทำนิรโทษกรรมแล้วเว้นบางอย่างไว้เพื่อให้ได้บางส่วนดีกว่า อาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่เข้าใจว่ากว่าจะถึงจุดนั้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งอีกในอนาคต

“ตะวัน” ทรุดย้าย รพ. “บุ้ง ”กลับเรือนจำ

วันเดียวกัน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ดูแลคดีให้ผู้ต้องหามาตรา 112 โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน ถูกย้ายตัวจาก รพ.ราชทัณฑ์ ไปยัง รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติแล้ว เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 22 ก.พ. หลังอดอาหารและน้ำประท้วงเข้าสู่วันที่ 9 เพื่อ 3 ข้อเรียกร้อง 1.ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 2.ต้องไม่มีคนติดคุกเพราะเห็นต่างทางการเมืองอีก 3.ประเทศไทยไม่ควรได้เป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน UN ด้านแฟรงค์ (นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร) ที่ถูกคุมขังในคดีเดียวกัน และเริ่มต้นประท้วงพร้อมกันยังคงอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ อย่างไรก็ตาม จากการเข้าเยี่ยมพบว่าตะวันดูอ่อนแรงและเหนื่อยล้ามาก ตอนนี้ไม่ขับถ่ายแล้ว และปัสสาวะออกเพียงนิดเดียว รู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลา รู้สึกร้อนมากจากข้างในร่างกาย ซูบผอมมาก จนเห็นกระดูกไหปลาร้า ช่วงหน้าอกเห็นกระดูกเป็นซี่ๆ หน้าตอมจนเห็นสันกราม ใต้ตาคล้ำ ผิวหน้าดูโทรมคล้ำ และปากแห้งแตกจนลอกออก โดยตะวันยืนยันจะไม่รับการรักษารวมถึงยืนยันที่จะเดินหน้าอดน้ำ และอาหารประท้วงต่อไป ส่วนอาการ น.ส.เนติพร เสน่สังคม หรือบุ้ง ทะลุวัง หลังอดอาหารจนถูกนำเข้า รพ.ราชทัณฑ์ ล่าสุดถูกส่งตัวกลับเรือนจำทั้งที่อาการไม่สู้ดี อาเจียนปนเลือดหลายครั้ง ตัวเหลือง รู้สึกเหนื่อยมาก ทนายเข้าเยี่ยมพบว่า บุ้งถูกส่งตัวจาก รพ.ราชทัณฑ์ กลับไปยังสถานพยาบาลของทัณฑสถานหญิงกลาง ตั้งแต่ช่วง 18.00 น. วันที่ 22 ก.พ. โดย รพ.ให้เหตุผลว่าเตียงเต็ม

สภากรุ่น “อัครเดช” ปะทะ “ปดิพัทธ์”

เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ประชุมสภาพิจารณาวาระกระทู้ถามทั่วไป ที่นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) สอบถามนายกฯถึงความคืบหน้าการจัดระเบียบสายไฟฟ้า สายสื่อสารและการบริหารจัดการไฟฟ้าส่องสว่างอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ นายกฯมอบให้นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้แทน อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่านายอัครเดชใช้เวลาอภิปรายเกือบ 10 นาทีกว่าจะตั้งคำถาม ทำให้นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมตักเตือนทำให้นายอัครเดชไม่พอใจโต้ตอบว่ากระทู้ถามทั่วไปไม่ได้ระบุเวลา ประธานอย่าทำตัวเอียง วางตัวให้ตรง นายปดิพัทธ์ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาไม่ให้อภิปราย แต่อย่าอภิปรายวนเวียน นายอัครเดชโต้กลับว่า “เพิ่งถาม 10 นาที ท่านมีอะไรกับผมเหรอครับ” นายปดิพัทธ์โต้ทันทีว่า ท่านมีอะไรกับผมเหรอ แค่บอกเฉยๆ ควรเข้าสู่คำถามได้แล้ว อภิปรายมากพอแล้วเสียเวลาสภาฯ

ตัดบทผิดข้อบังคับกระทู้ถามแท้ง

จากนั้นทั้งคู่โต้ตอบกันไปมา โดยนายอัครเดช กล่าวว่า ถามกระทู้มาตั้งแต่สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯ ไม่ได้เพิ่งถามเป็นกระทู้แรก ทำให้นายปดิพัทธ์ทักท้วงว่า ให้เข้าเรื่องได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่อนุญาตให้พูด คำวินิจฉัยประธานเป็นที่สิ้นสุด ทำให้นายอัครเดชบอกว่า ถ้าวินิจฉัยเช่นนี้ ขอไม่ถามกระทู้ต่อ แต่นายปดิพัทธ์ชี้แจงต่อว่า จำเป็นต้องบริหารเวลา ข้อบังคับให้ชัดเจน ไม่มีเจตนาเบรก นายอัครเดชโต้ว่า ท่านประธานไม่จบ นายปดิพัทธ์สวนกลับว่า ตนจบแล้ว และไม่อนุญาตให้พูด ขอบคุณรัฐมนตรี ผู้ถามไม่ใช้สิทธิถามแล้ว ขอให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ว่า นายอัครเดชทำผิดข้อบังคับ ไม่เคารพคำวินิจฉัย ไม่สามารถให้อภิปรายได้ สร้างความไม่พอใจให้นายอัครเดชลุกขึ้นประท้วงว่า ประธานทำผิดข้อบังคับ ต้องวางตัวเป็นกลาง อย่าใช้อารมณ์ ไม่ถูกต้อง การมาขัดการอภิปรายเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ควรทำ ไม่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง ก่อนที่นายปดิพัทธ์จะตัดบทเข้าสู่วาระประชุมถัดไป

ไฟเขียวฉลุยรับร่าง พ.ร.บ.ประมง

จากนั้นที่ประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประมง พ.ศ.2558 ที่ ครม.เสนอ พร้อมร่างที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันอีก 7 ฉบับ โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เข้าสภาตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.2558 แสดงให้เห็นแรงเฉื่อยของสภาฯในการแก้ปัญหา กฎหมายประมงผิดกฎหมายหรือไอยูยู ให้ไทยยึดหลักการใช้เขตอำนาจรัฐ นอกดินแดน หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งออกไปสหภาพยุโรปไม่ได้ ขอเตือนสติว่า ไทยส่งออกประมง 2 แสนล้านบาท ส่งออกไปยุโรปแค่ 6.7% เท่านั้น ประชาชนที่ไม่ได้ส่งออกไปยุโรปรับกรรม คนรับโทษไม่ได้ส่งออก เป็นความอยุติธรรมตลอด 10 ปี ชาวประมงโดนกฎหมายอำนาจนิยมกดขี่ กลายเป็นผู้ต้องหา 4,632 คน ถูกบีบต้องขายเรือ ชาวบ้านบอกว่า การปรับตัวตามไอยูยูนั้นต้องให้โอกาสปรับตัว มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่ปรับจนล้มละลาย หลังจาก สส.อภิปรายเสร็จสิ้นทุกคนแล้ว ที่ประชุมลงมติรับหลักการร่างทั้ง 8 ฉบับ 416 ต่อ 0 เสียง ตั้ง กมธ. 37 คน พิจารณาใช้ร่าง ครม.เป็นร่างหลัก

ซัดอธิบดี สถ.ส่อทุจริตฝายเอลนีโญ

ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรี ธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายชัยชนะ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 สภาฯกล่าวด้วยว่า ขอให้สื่อมวลชนช่วยไปถามอธิบดีกรมส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) งบฯสร้างฝายเอลนีโญโครงการละไม่เกิน 5 แสนบาท สถ.ตั้งงบฯไว้ 4.98 แสนบาทต่อฝาย รวมกว่าร้อยล้านบาท ซอยเป็นร้อยโครงการ ตั้งงบฯแบบนี้อธิบดีกรม สถ.มีส่วนอะไรหรือไม่ ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างเฉพาะเจาะจงทั้งหมด จะเอามาแก้สถานการณ์อะไรเอลนีโญหมดไปแล้วทำไมถึงตั้งงบฯไว้อีก แล้วเป็นไปได้หรือที่เอลนีโญจะเกิดทั่วประเทศ ใช้งบ 4.98 แสนบาท เหมือนกันเท่ากันหมดทุกแห่ง โครงการนี้เวลาจัดซื้อจัดจ้างบริษัทที่ได้รับงานเป็นร้อยโครงการมีหลายบริษัท และบริษัทจดทะเบียนเมื่อไหร่ ดังนั้นหากอธิบดี สถ.โปร่งใส ขอให้ชี้แจงมา ไม่โปร่งใสให้ระวังให้ดี

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่