"อนุทิน" เปิดกลยุทธ์สร้างอีสาน ขับเคลื่อนสร้างความเข้มแข็งทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้าเศรษฐกิจ เร่งขจัดความเอาเปรียบ สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก เปิดรับโอกาสทางการค้า-การลงทุน

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 67 ณ ห้องประชุมวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในวาระฉลองครบรอบ 60 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เศรษฐกิจฐานรากกับการขับเคลื่อนอีสานใหม่ "Mobilizing New Isan for the Future of Thailand" ใจความตอนหนึ่งว่า ภูมิภาคนี้ คือ ภูมิภาคแห่งโอกาส รัฐบาลมียุทธศาสตร์ที่วางไว้เพื่อพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแผนการที่ชื่อว่าระเบียงเศรษฐกิจอีสาน มีฐานอยู่ที่นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยอาศัยความหลากหลายทางชีวภาพ ผนวกกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับภาคอีสานโดยรวม ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ไทยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการเติบโตเศรษฐกิจ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy ที่ 4.4 ล้านล้านบาท หรือเป็นสัดส่วนถึง 24% ของจีดีพี ภายในปี 2569 นี่คือโอกาสที่เข้ามาและเราต้องพร้อมในการเปิดรับโอกาส กลยุทธ์ ประกอบไปด้วย

ข้อ 1 เราต้องสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุมชน ตนถึงได้เร่งแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชน กลับมามีรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงขึ้น ขณะเดียวกันเราต้องสนับสนุนการทำ Crowdfunding หรือการระดมทุน จากผู้ที่สนใจในไอเดียหรือธุรกิจของชุมชน ให้มาร่วมทุนกันสร้างผลงาน พัฒนาต่อยอดในทางเศรษฐกิจ เราจะสร้างสตาร์ทอัพใหม่ๆขึ้นมาได้ เราจะสร้างโอกาสให้คนในชุมชนได้อย่างมหาศาลเป็นแหล่งทุน ที่ไม่ต้องรอรัฐสนับสนุน

ข้อ 2 เมื่อในพื้นที่เกษตรยังเป็นอาชีพหลัก แต่เมื่อเราอยู่ในยุคที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย การทำเกษตรต้องต้องมีการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัย ใช้ Data หรือข้อมูล และเทคโนโลยีในการบริหารงานเกษตร เพื่อให้สามารถวางแผนวิธีการทำงานให้เหมาะสมในการสร้างผลผลิต ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสีย และเพิ่มกำไรให้มากยิ่งขึ้นได้

...

ข้อ 3 การสนับสนุน เรื่องการท่องเที่ยว และการส่งออกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power อีสานมีจุดขายที่โดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นในเชิงสถานที่ วัฒนธรรม หรือเอกลักษณ์ของผู้คน เราต้องเพิ่มเส้นทางการท่องเที่ยว และต้องรู้ความต้องการของนักท่องเที่ยว ที่มีการเปลี่ยนพฤติกรรมพอสมควร จากที่มาเยือนแล้วถ่ายรูป นักท่องเที่ยวต้องการเข้ามาสัมผัสกับวิถีวัฒนธรรม ซึ่งตรงนั้น เราต้องปรับตัวให้ทัน

ข้อ 4 เราต้องยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ผังเมือง สมควรตอบโจทย์ทั้งคุณภาพชีวิตของคน และสิ่งแวดล้อม โครงข่ายการคมนาคมต่างๆจะต้องช่วยให้คนประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง สนองตอบคนทุกกลุ่ม มีทางเลือกที่หลากหลาย กับประชาชน กระทรวงมหาดไทย เราคำนึงถึงในเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิต อาทิ นโยบายน้ำประปาสะอาดดื่มได้ เป็นต้น

จากนั้น ข้อที่ 5 เราต้องพัฒนาคนและสนับสนุนบทบาทของสถาบันการศึกษา หากเราต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG เราก็ต้องมีนักเรียนนักศึกษาในสาย STEM ให้มากขึ้น ซึ่งก็คือ Science, Technology, Engineering และ Mathematics ซึ่งในส่วนนี้เราก็มีมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีอยู่ในพื้นที่แล้ว อย่างไรก็ตาม คนในพื้นที่ ต้องไม่ลืมรากทางวัฒนธรรมทั้งความเป็นคนไทย และความเป็นคนอีสาน เพียงแต่ต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา

และสุดท้ายข้อ 6 การกระจายความเจริญด้วยกลไกภาครัฐ เราต้องไม่ทำให้เกิดสังคมแบบรวยกระจุก จนกระจาย โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทยนั้น กรมพัฒนาชุมชนจะต้องเป็นหน่วยงานหลัก ในการบูรณาการงานพัฒนาด้านต่างๆให้ก้าวไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม กองทุนหมู่บ้าน กองทุนออมทรัพย์ กองทุนสวัสดิการ สหกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ต่างต้องร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก หรือเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตต่อไป

"ที่สุดแล้ว เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งกับการรักษาสิ่งเดิม เพิ่มเติมสิ่งใหม่ สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก เปิดรับโอกาสทางการค้าการลงทุนที่มากับเส้นทางสายไหม และระเบียงเศรษฐกิจใหม่ ปรับตัวสู่การเกษตรวิถีใหม่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและผลักดัน Soft Power ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ปรับยุทธศาสตร์ในการพัฒนาคน และกระจายความเจริญ เพื่อให้ประชาชนในทุกภาคส่วนได้รับโอกาสอย่างทั่วถึงกัน" นายอนุทิน กล่าว.