ต้องยอมรับว่านายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้นำประเทศที่ขยันเดินทางที่สุด ทั้งเดินทางภายในประเทศ เพื่อพบปะและดูแลสารทุกข์สุกดิบของประชาชนในทุกภาค และยังเดินทางไปต่างประเทศมากที่สุด แค่ 5 เดือนเศษไปมาแล้วเกือบทั่วโลก เพื่อป่าวประกาศให้นานาประเทศรู้ว่าไทยเปิดประเทศแล้ว
เพื่อต้อนรับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวจากนานาประเทศ หลังจากที่ดูเสมือนหนึ่งว่าไทยปิดประเทศนานนับสิบปีในช่วงรัฐบาล คสช. และรัฐบาลที่ต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงแรกเป็นเผด็จการ ถูกนานาประเทศประชาธิปไตยรังเกียจ จนนายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น ถึงกับบ่นว่าอยากปิดประเทศ
แท้ที่จริง ไทยไม่ได้ปิดประเทศ หลังรัฐประหาร 2557 แต่ถูกโลกประชาธิปไตย รังเกียจ เช่นเดียวกับพม่าในยุคเผด็จการเนวิน หลังรัฐประหาร 2505 ถูกโลกตะวันตกควํ่าบาตร ไม่ยอมคบ ไม่ยอมค้าขาย ไม่มาลงทุน ทำให้เศรษฐกิจพม่าทรุด ประชาชน ไม่มีงานทำ คนนับล้านๆต้องหนีเข้ามาทำงานในไทย
ส่วนประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากจะมีรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งที่นานาชาติยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไทยยังตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากจะเหมาะกับการท่องเที่ยวและการลงทุนแล้ว ยังเหมาะที่จะเป็นผู้ ส่งเสริมประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพ
มีรายงานข่าวว่า ประเทศไทยจะสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรีที่จะส่งเสริมเกียรติภูมิของประเทศ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ถึงแม้การเจรจาทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับนานาชาติ จะตกลงกันได้เพียงศรีลังกา ที่อยู่ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
แต่ในทุกประเทศหรือทุกเวที ที่นายกฯเศรษฐามีโอกาสไปเยือน มักจะถือโอกาสจับมือกับระดับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลก เช่น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และถือโอกาสเชิญมาเยือนประเทศไทย ไม่ทราบว่ามีใครรับคำเชิญหรือยัง
...
แต่อย่างน้อยที่สุด ไทยเคยเป็นเจ้าภาพ จัดให้มีการพบกันระหว่างผู้แทนสหรัฐฯกับจีน และท่ามกลางสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน สงครามอิสราเอลกับกาซาขณะนี้ ไทยต้องรักษาภาวะสมดุลของความสัมพันธ์กับบรรดามหาประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯกับจีนที่เคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งสองประเทศ.
คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม