“มนพร เจริญศรี” เร่งหารือภาครัฐ-เอกชน เตรียมพร้อมรับนายกฯ เศรษฐา ลงพื้นที่อีสาน 17-19 ก.พ.นี้ เตรียมโชว์ซอฟต์พาวเวอร์นครพนม หนุนยกระดับเมืองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว จากเมืองรองเป็นเมืองหลัก 1 ใน 10 ของประเทศ
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ความคืบหน้าเกี่ยวกับหมายงานภารกิจ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ติดตามการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ภาคอีสาน ระหว่างวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2567 มีพื้นที่ จ.นครพนม จ.สกลนคร และ จ.อุดรธานี ส่วนพื้นที่ จ.นครพนม ถือว่ามีความพร้อมที่จะโชว์ซอฟต์พาวเวอร์ เรื่องเส้นทางสายมู คู่วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นอีสาน เพื่อที่จะยกระดับเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว ของ จ.นครพนม จากเมืองรอง เป็นเมืองหลัก 1 ใน 10 จังหวัดของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นวันแรกการลงพื้นที่ของคณะนายกรัฐมนตรี ทางด้าน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะได้ร่วมเปิดงานนมัสการองค์พระธาตุพนม ประจำปี 2567 จัดขึ้น 15-17 กุมภาพันธ์ 2567 ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ถือเป็นงานบุญใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน และจะได้เห็นพลังศรัทธาทั้งชาวไทย ชาวลาว ที่มาร่วมงาน ถือเป็นงานท่องเที่ยวที่กระตุ้นเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว เงินหมุนเวียนสะพัดปีละกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้จะได้มีโอกาสไปพบปะภาครัฐ ภาคเอกชน หอการค้านครพนม รวมถึงตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม รวมถึงเดินชมชิมช็อปถนนคนเดิน ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ที่จะเป็นการเตรียมพร้อมสนับสนุนให้ จ.นครพนม เป็นเมืองหลักแห่งเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยวชายแดน
ล่าสุด นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม สส.เขต 2 นครพนม พร้อมด้วย นายอนุชิต หงษาดี นายก อบต.โพนสวรรค์ แกนนำครอบครัวเพื่อไทย, นายสมนาม เหล่าเกียรติ อดีต สว.นครพนม และคณะ ได้ร่วมพบปะหารือกับ นายธนพัต ทีฆธนานนท์ หรือเสี่ยบิ๊ก ประธานหอการค้า จ.นครพนม รวมถึงตัวแทนภาคเอกชน พ่อค้า ประชาชน ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ เพื่อหารือสรุปความพร้อมในการต้อนรับนายกรัฐมนตรี และคณะ สำคัญที่สุดคือการโชว์ความพร้อมศักยภาพด้านการพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของ จ.นครพนม ที่จะรองรับนโยบายการพัฒนาของรัฐบาลที่จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่มากที่สุด เนื่องจากรัฐบาลได้คัดเลือกให้ จ.นคพรนม เป็น 1 ใน 10 จังหวัด ที่จะปั้นจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก
...
น.ส.มนพร เปิดเผยว่า สิ่งสำคัญสำหรับการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นโอกาสดีของชาวอีสาน รวมถึงชาว จ.นครพนม ที่จะได้แสดงถึงศักยภาพความพร้อมในการยกระดับจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก 1 ใน 10 จังหวัดของประเทศไทย โดย จ.นครพนม ในเรื่องการท่องเที่ยวมีจุดแข็งเรื่องเส้นทางสายมู คู่วัฒนธรรม มีงานประเพณีไหลเรือไฟ มีองค์พระธาตุพนม มีพระธาตุประจำวันเกิดทุกอำเภอ รวมถึงมีสะพานมิตรภาพ 3 นครพนม-คำม่วน นอกจากนี้ยังมี องค์พญาศรีสัตตนาคราช มีเส้นทางอันซีนเพื่อสุขภาพเลียบน้ำโขง จะได้มีโอกาสนำสินค้าขึ้นชื่อ ซอฟต์พาวเวอร์ของ จ.นครพนม ที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชนในพื้นที่ เพื่อขานรับการสนับสนุนของรัฐบาลในการยกระดับการผลิตสินค้าภูมิปัญญาชาวบ้านของทั้ง 12 อำเภอ โดยจะมีการจัดบูธสินค้าโอท็อปที่มีชื่อเสียง กระบวนการผลิตสินค้า สร้างรายได้จาก 12 อำเภอ ให้นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เยี่ยมชม ไปจนถึงการหารือวางแนวทางการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว กับภาครัฐ เอกชน จะได้พาลงพื้นที่ชมหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม อนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ถือเป็นจุดแข็ง ซอฟต์พาวเวอร์ส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปจนถึงการลงพื้นที่ตรวจติดตามการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ
ทั้งนี้จะได้เสนอรัฐบาลให้สนับสนุนการเกิดเส้นทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการ 1 อำเภอ 1 แหล่งท่องเที่ยว เพื่อเป็นปฏิทินการท่องเที่ยว จาก 12 อำเภอ สามารถมาท่องเที่ยวได้ตลอดปี
ส่วนในการพัฒนาของการคมนาคมขนส่งที่จะเชื่อมโยงถึงการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว ทางกระทรวงคมนาคมได้ผลักดันการพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่เป็นเส้นทางหลักยังมีปัญหาการจราจรคับคั่ง ช่องทางการจราจรแคบ จะต้องได้รับการพัฒนาขยายให้เป็นถนน 4 เลน มีเส้นทางระหว่าง อ.ธาตุพนม กับ อ.นาแก เส้นทางระหว่าง ต.หนองญาติ อ.เมือง กับ อ.นาแก และเส้นทางระหว่าง อ.ท่าอุเทน ผ่าน อ.โพนสวรรค์ เชื่อมกับ จ.นครพนม ซึ่งจะมีการเร่งพัฒนาตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน พร้อมนำเข้าสู่แผนพัฒนาในปี 2568 เพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ที่สำคัญจะเร่งพัฒนาเส้นทางโครงขายในพื้นที่อีสาน รวมถึง จ.นครพนม เชื่อมเส้นทางเศรษฐกิจการค้าชายแดน ให้รองรับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยวให้มากที่สุด และในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จะได้มีการเสนอขอรับการสนับสนุนในการพัฒนาเส้นทางคมนาคมอย่างเร่งด่วน มั่นใจว่าจะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกด้านตามมาอย่างแน่นอน.