“เศรษฐา” ยืนหยัดชัดเจน ศก.ไทยวิกฤติต้องแจกเงินหมื่น ชี้ถ้ายื้อแลนด์บริดจ์มีราคาที่ต้องจ่าย โวจะทำให้คนไทยใจฟู ต้อนรับ ปธน.เยอรมัน ดึงภาคเอกชนลงทุนแลนด์บริดจ์ อ้อนให้ช่วยเจรจาอียู ยกเว้นวีซ่าเชงเกน ปธน.เยอรมันอวยพรให้รัฐบาลประสบความสำเร็จ ร่วมยินดี “พิธา” พ้นบ่วง ชี้เป็นสัญญาณประชาธิปไตยไทยเข้มแข็ง “ทิม” คัมแบ็กเข้าสภาฯวันแรก พรรคร่วมฝ่ายค้านแห่ยินดี บ่นเสียดายเวลา 6 เดือนที่อดทำงาน จับตา 3 โครงการเรือธงเป็นพิเศษ แนะดิจิทัลวอลเล็ตไปไม่ได้ควรมีแผน 2 อุบไต๋ทิ้งบาซูกาซักฟอกรัฐบาล หรือเอาเบาะๆอภิปรายทั่วไป “อ้วน” ยักไหล่ “พิธา” รอดคดีหุ้นสื่อ ไอทีวีเฮ ศาลปกครองสูงสุดยกคำฟ้อง สปน. ชี้ไม่มีหนี้ต้องชำระแก่กัน อินทัชรีบแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ สส.ก้าวไกลโวยรัฐบาลแจกวัวผอม ดีเอสไอปัดกลั่นแกล้ง “เสี่ยเฮ้ง”

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางเข้ารัฐสภาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ สส.เป็นวันแรก หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยคดีการถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ไม่เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางกองเชียร์พรรคร่วมฝ่ายค้าน สส.พรรคก้าวไกล ร่วมให้กำลังใจ

โปรดเกล้าฯ ปธน.เยอรมันเข้าเฝ้าฯ

ช่วงค่ำวันที่ 25 ม.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงรับนายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (His Excellency Dr.Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และนางเอ็ลเคอ บือเดินเบนเดอร์ (Mrs. Elke Büdenbender) ภริยา ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ 24-26 ม.ค. ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระกรัณฑ์ถมตะทองลายดอกพุดตานใบเทศ และตลับถมตะทองลายดอกพุดตานใบเทศประดับเพชร แก่ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และภริยา และประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภาพพิมพ์นูนต่ำภาพรัฐสภาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และแจกันพอร์ซเลนลวดลายต้นหญ้าและนกไอบิสสีน้ำเงินแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

...

สายสัมพันธ์ 2 ชาติยาวนาน 162 ปี

นายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตั้งแต่ พ.ศ.2560 ในอดีตเคยดำรงตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมายาวนาน นับตั้งแต่ราชอาณาจักรสยามกับอาณาจักรปรัสเซีย หรือสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในปัจจุบัน สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อ พ.ศ.2405 โดยทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ทั้งในระดับพระราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชนที่แน่นแฟ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีครอบคลุมในทุกสาขา นอกจากการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญแล้ว ยังมีความร่วมมือด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ถือเป็นเสาหลักที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเยอรมนี

นายกฯนำตรวจแถวกองเกียรติยศ

ก่อนหน้านี้ เวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้การต้อนรับนายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล พร้อมร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นทั้งสองฝ่ายร่วมหารือกลุ่มเล็ก ณ ห้องสีงาช้าง นายเศรษฐากล่าวต้อนรับว่า ถือเป็นการเยือนไทยระดับประธานาธิบดีของเยอรมนี ในรอบ 22 ปี เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมยกระดับความร่วมมือรอบด้าน สู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ต่อไป ขณะที่ประธานาธิบดีเยอรมนีขอบคุณนายกฯและรัฐบาลไทยที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ภาคเอกชนเยอรมนีให้ความสนใจ ด้วยเสถียรภาพทางการเมือง และการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และต้องการมีความร่วมมือมากขึ้นด้านแรงงาน

ชวนเยอรมนีลงทุนแลนด์บริดจ์

นายเศรษฐายังกล่าวเชิญชวนภาคเอกชนเยอรมนีเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อสร้างโอกาสผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการขนส่งของภูมิภาค ไทยพร้อมขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาทางเศรษฐกิจควบคู่กับสิ่งแวดล้อม ร่วมมือด้านพลังงานสะอาด และยินดีร่วมมือด้านการท่องเที่ยว หาแนวทางส่งเสริมอำนวยความสะดวกการเดินทางระหว่างกันมากขึ้น ด้านความร่วมมือในกรอบสหภาพยุโรป (EU) นายกฯขอรับการสนับสนุนจากเยอรมนีในการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งประธานาธิบดีเยอรมนีพร้อมสนับสนุนเต็มที่

หนุนไทยบรรลุเจรจากับอียู

ต่อมานายเศรษฐาและนายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ร่วมกันแถลง นายเศรษฐากล่าวว่า ความสัมพันธ์ยาวนานถึง 162 ปี เยอรมนีถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยในสหภาพยุโรป และไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของเยอรมนีในอาเซียน เป็นพันธมิตรที่เกื้อกูลกัน ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญส่งเสริมความร่วมมือด้านความยั่งยืน เยอรมนีพร้อมสนับสนุนไทยด้านเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็นร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ.2040 รวมถึงขยายการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของเยอรมนีในไทย ให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางในระดับภูมิภาค ส่งเสริมการทำการเกษตรแบบยั่งยืนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในไทย และร่วมมือแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้แจ้งศักยภาพเศรษฐกิจของไทยและโอกาสใหม่ๆ หลังจากไทยกับสหภาพยุโรปสามารถบรรลุการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีได้สำเร็จ ตั้งเป้าหมายไว้ภายในปี 2568 การส่งเสริม Ease of Doing Business รวมทั้งการสร้างทรัพยากรมนุษย์

ไทยอ้อนขอยกเว้นวีซ่าเชงเกน

นายกฯกล่าวว่า ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน ปีที่แล้วเดินทางมาไทยประมาณ 7 แสนคน ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา 30 วัน จึงขอให้ฝ่ายเยอรมนีสนับสนุนไทย ให้บรรลุการเจรจากับสหภาพยุโรป เพื่อขอยกเว้นตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้าเขตเชงเกน ให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาไทยด้วย วันที่ 26 ม.ค. ประธานาธิบดีเยอรมนีจะเดินทางไป จ.อุบลราชธานี เยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำไฮบริดที่เขื่อนสิรินธร และโครงการเกษตรยั่งยืนเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติผาแต้ม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเยือนไทยครั้งนี้จะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการแลกเปลี่ยน นำไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในทุกมิติที่แน่นแฟ้นมากขึ้น และห้วงเดือน มี.ค.มีกำหนดเยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการ

อวยพรรัฐบาลประสบผลสำเร็จ

นายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ กล่าวว่า ดีใจที่ได้มาเยือนประเทศไทย ขอบคุณนายกฯและประเทศไทยสำหรับคำเชิญและการต้อนรับอย่างอบอุ่น ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านการเลือกตั้ง มีคนไทยออกมาใช้สิทธิถึง 75% เป็นตัวเลขที่สะท้อนความเข้มแข็งในระบอบประชาธิปไตย ในโอกาสนี้ขอกล่าวแสดงความยินดีการดำรงตำแหน่งนายกฯ และอวยพรให้เป็นสมัยที่ประสบความสำเร็จ ยินดีที่จะได้ความร่วมมือให้ก้าวต่อไปได้ เยอรมนีเป็นผู้ค้ายุโรปที่สำคัญที่สุดของไทย ปีที่ผ่านมามีมูลค่าการค้าถึง 14,000 ล้านยูโร ความสัมพันธ์ระดับประชาชน ชาวเยอรมันมาท่องเที่ยวและใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่า 35,000 คน ตัดสินใจที่จะพำนักอยู่ที่ไทย เช่นเดียวกับคนไทย 60,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเยอรมนี เรายังเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการลงทุนในไทย โดยเฉพาะเงื่อนไขการประกันสินเชื่อ และเศรษฐกิจของไทยต่างได้รับการยอมรับในมุมมองนักลงทุนเยอรมันมาตลอด เชื่อว่าการลงทุนในส่วนนี้จะเติบโตต่อไป

ยินดี “พิธา” พ้นบ่วงชี้สัญญาณดี

นายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ กล่าวว่า หารือกับนายกฯของไทยถึงบทบาทสำคัญในภาคประชาสังคม ยินดีสำหรับข่าวคำพิพากษาของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล คิดว่าคำพิพากษาที่ออกมาเป็นสัญญาณที่ดีของการดำเนินไปในทิศทางที่ดีของประเทศไทย นอกจากนี้ยังพูดคุยกันถึงวิกฤติการณ์ความขัดแย้งภูมิภาคต่างๆในโลก และบทบาทต่างๆที่เราจะมีท่าทีต่อความขัดแย้งได้ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราไม่อาจตั้งความคาดหวัง ให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ต้องใช้เวลา ปัจจัยที่มีความสำคัญคือ เสถียรภาพ การแสดงออก และคำพิพากษาของนายพิธา ถือเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายค้าน และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีพื้นฐานของระบบประชาธิปไตย ที่มีเสถียรภาพในการแสดงออกที่เกิดขึ้น

จากนั้นนายกฯและภริยานำประธานาธิบดีเยอรมนีและภริยา เยี่ยมชมนิทรรศการศิลปหัตถกรรม และเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีเยอรมนีและภริยา ณ ตึกสันติไมตรี

ยืนหยัดชัดเจน ศก.ไทยวิกฤติ

จากนั้นเวลา 15.00 น. ที่ SCBX Next Tech ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “The Better Future Forward 2024” หัวข้อ “Reinventing Thailand : Toward Becoming a Key Global Player ทำประเทศไทยให้ดีกว่าเดิม : สู่พลังขับเคลื่อนหลักในเวทีโลก” ว่า เรื่องเศรษฐกิจวิกฤติไม่วิกฤติ ทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างกันไป แต่รัฐบาลยืนหยัดชัดเจนว่าเศรษฐกิจวิกฤติ วันนี้ GDP ประเทศเราแพ้คู่แข่ง 2-3 เท่าตัว ก่อนหน้านี้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหยอดน้ำข้าวต้ม แจกเงินทีละ 1,000-2,000 บาท เราจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่ต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบคอบ สมมติหากดิจิทัลวอลเล็ตเกิดขึ้นในวันที่ 1 มิ.ย. เชื่อว่าทุกคนต้องตีปีก พร้อมจะผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้มีการจ้างงาน ทำงานแบบ Over time เงินในกระเป๋าตังค์ของพี่น้องจะเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ส่วนเรื่องหนี้สินถือเป็นปัญหาเรื้อรัง เป็นเรื่องที่ไม่มีรัฐบาลไหนเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ส่วนเรื่องแลนด์บริดจ์ก็มีทั้งคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เหมือนสนามบินสุวรรณภูมิ หากวันนี้เราไม่มี มีแต่สนามบินดอนเมือง จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากหรือไม่

ยื้อแลนด์บริดจ์มีราคาที่ต้องจ่าย

นายเศรษฐากล่าวว่า การที่เราต้องคอยถือเป็นราคาที่ต้องจ่ายที่สูงที่สุด ไม่อยากให้มาพูดคำว่า “รู้งี้” ถ้าแลนด์บริดจ์ไม่เริ่มวันนี้ ยืนยันว่าต้องเริ่มวันนี้ ส่วนข้อกังวลที่ว่าเราจะมีปัญหากับสิงคโปร์ แม้จะมองว่าเป็นเรื่องการแข่งขันทางการค้า แต่เราไม่ได้ไปแข่งขันกัน กลับมองเป็นเรื่องการเสริมซึ่งกันและกันมากกว่า ส่วนเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ยืนยันว่าประเทศไทยเรามีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ฝักใฝ่สหรัฐอเมริกาไม่ฝักใฝ่อินเดีย และไม่ฝักใฝ่จีน เราเป็นกลางเป็นมิตรกับทุกประเทศ เชื่อว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะประสบความสำเร็จสูง และเราจะทำข้อมูลที่ชัดเจน และเป็นกลางในการรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย อย่างที่ลงไปในพื้นที่มาแล้วทุกคนก็เห็นอยู่

โวคนไทยใจฟูด้วยสิทธิเสรีภาพ

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ด้านการท่องเที่ยวรัฐบาลให้ความสำคัญมาก เร็วๆนี้จะมีข่าวดีเรื่องฟรีวีซ่ากับจีน วันนี้ก็ขอให้เยอรมนีช่วยเจรจาให้ยกเว้นวีซ่าเชงเกน ขอให้อดทนนิดนึงรัฐบาลพยายามยกพาสปอร์ตเรตติ้งประเทศไทยขึ้นมาอีกมิติหนึ่ง ส่วนเรื่องสังคม ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ลึกมากของสังคมไทย จะแก้ได้อย่างยั่งยืนเราต้องใส่ใจ สถาบันครอบครัวต้องแข็งแรง ชุมชนต้องแข็งแรง นายอำเภอผู้ใหญ่บ้านต้องใส่ใจ รวมถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องรัฐธรรมนูญ เราพยายามจะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงจะทำให้ช่องว่างระหว่างทหารกับประชาชนแคบลงไปเรื่อยๆ หลายเรื่องราวพยายามทำอยู่ ขอให้มั่นใจว่าโอกาสที่มีเป็นโอกาสที่จะทำให้หัวใจของประชาชนทุกคนฟูขึ้นได้จากการมีสิทธิเสรีภาพที่ดีขึ้น และจะดีขึ้นเรื่อยๆ

“พิธา” คัมแบ็กเข้าสภาฯวันแรก

ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 10.30 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ สส.เป็นวันแรก หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยคดีการถือหุ้นไอทีวี จำกัด (มหาชน) ไม่เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชน มารอเกาะติดทำข่าวจำนวนมาก มี สส.พรรคก้าวไกลหลายคน ข้าราชการสภาฯ นักศึกษา ประชาชน มารอต้อนรับ ทันทีที่นายพิธามาถึงจุดแลกบัตรก่อนเข้าอาคาร ได้เข้าไปทักทายจับไม้จับมือ และสวมกอด สส. พรรคก้าวไกลที่มายืนรอต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นายวีรนันท์ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น พรรคก้าวไกล กล่าวกับนายพิธาว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับพี่”

เสียดายเวลา 6 เดือนไม่ฟ้องกลับ

นายพิธาให้สัมภาษณ์ถึงก้าวแรกในการเข้าสู่สภาฯว่า ไออุ่นที่คุ้นเคย ตั้งแต่ ก.ค.2566 จนถึงวันนี้ 6 เดือนแล้ว ไม่มีโอกาสมาแถลงข่าวที่สภาฯ คิดถึงบรรยากาศแบบนี้ เสียดายเวลาที่เสียไป เช่น โอกาสในการเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ไม่อาจมีใครบอกได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรือถ้ามีครั้งที่ 2 แล้วจะมีครั้งที่ 3 หรือไม่ แต่เราบริหารจัดการได้ว่า 6 เดือนที่หายไป ภารกิจแรกจะพูดคุยกับสส.พรรค นักศึกษา ประชาชนที่มาเยี่ยมสภาฯหน่อย และเตรียมอภิปรายเรื่องการบริหารจัดการขยะ รวมถึงจะแถลงแผนงานพรรคก้าวไกลว่ามีเป้าหมายอย่างไรต่อไป ส่วนช่วงที่มีเหตุคุกคามทางเพศนั้น ไม่ได้หายไปไหน จะเรียนรู้ความผิดพลาดปรับปรุงโดยไม่ได้แก้ตัว เมื่อถามว่าจะดำเนินคดีกลับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรค พปชร. ที่ร้องเรื่องหุ้นสื่อไอทีวีหรือไม่ นายพิธาตอบว่า ไม่มี เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ขอโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน ส่วนโอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้านนั้น เป็นไปตามกระบวนการ ทั้งตนและนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่มีใครยึดติดในตำแหน่งทั้งคู่

จับตา 3 โครงการเรือธงเป็นพิเศษ

ผู้สื่อข่าวถามว่าศาลรัฐธรรมนูญยังมีคำร้องที่ค้างการพิจารณาอยู่ จะเป็นหัวเชื้อให้เกิดอุบัติเหตุของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธาตอบว่า ความรู้สึกคงเหมือนกับคดีไอทีวี เราแยกแยะได้ว่าอะไรควบคุมได้ ไม่ได้ อะไรที่ควบคุมได้เราทำเต็มที่ ทำให้เรามั่นใจ เมื่อถามว่าจะจับตาโครงการแลนด์บริดจ์เป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธาตอบว่า จะจับตาเป็นพิเศษ เพราะในช่วงถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สังเกตว่าโครงการเรือธงของรัฐบาลมี 3 โครงการ 1.ดิจิทัลวอลเล็ต 2.แลนด์บริดจ์ 3.ซอฟต์พาวเวอร์ มีหลายเรื่องที่เราเห็นตรงกัน แต่มีอีกหลายเรื่องที่ต้องพูดคุยกันเป็นพิเศษ ต้องมองในมุมกว้างและลึก และดูว่าทางเลือกและเป้าหมายคืออะไร

ดิจิทัลวอลเล็ตไปไม่ได้ควรมีแผน 2

เมื่อถามว่า ดิจิทัลวอลเล็ตดูเหมือนเป็นเป้าหมายหลักที่พรรคก้าวไกลจะตรวจสอบรัฐบาล นายพิธาตอบว่า เห็นว่าประชาชนเดือดร้อนพอสมควร เศรษฐกิจโตช้าซบเซามานาน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจอาจโตช้าในรอบ 10 ปี ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่เพิ่งเข้ามาบริหารเพียง 6 เดือน แต่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหามาจากการเมืองไทยสูญหายมากว่า 10 ปี ไม่มีการปรับโครงสร้างทำให้เราโตช้ามาก ขณะเดียวกันกังวลว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการใช้งบประมาณระยะยาว ทำให้ไม่มีพื้นที่การคลังในการแก้ไขปัญหาระยะยาว อยากชวนรัฐบาลคิดแผน 2 กรณีสิ่งที่หาเสียงมาไม่ผ่าน อยากให้ลองคิดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากขึ้นมา อย่าดูถูกรายละเอียด และโครงการเล็กๆ พอมาทำรวมกัน พลังเศรษฐกิจจะระเบิดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตจากบนลงล่างอย่างเดียว

อุบไต๋ทิ้งบาซูกาหรือเอาแค่ 152

เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่านายกฯจะมาตอบคำถามด้วยตัวเอง นายพิธาตอบว่า บรรทัดฐานที่วางไว้หากเป็นรัฐบาลเราจะมาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง ก็คาดหวังสิ่งนี้กับคนอื่นเช่นเดียวกัน เมื่อถามว่าเล็งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลช่วงไหน นายพิธาตอบว่า ถ้าตอบเขาก็รู้หมด มีข้อมูลเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลฯ และการลงพื้นที่ มีคนนำข้อมูลมาให้ในเรื่องการประพฤติมิชอบ เรื่องคอร์รัปชัน ความล้มเหลวในการใช้งบประมาณแผ่นดิน จะเตรียมข้อมูลไปเรื่อยๆดูจังหวะอีกที ว่าจะใช้บาซูกาเลย หรือจะใช้แค่แนวรบรัฐธรรมนูญมาตรา 152 (อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ) คงต้องดูจังหวะอีกครั้ง กลับสภาครั้งนี้คงเอาสาระเป็นหลัก สีสันเป็นรอง หมดเวลาทำการเมืองแบบวาทกรรมฉาบฉวย เน้นการทำงานลงลึก สาระย่อมสำคัญกว่าวาทกรรม ทั้งนี้ก่อนที่นายพิธาจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวได้ถามว่าเข้าสภาฯรอบนี้ไม่ออกแล้วใช่หรือไม่ นายพิธาตอบไปยิ้มไปว่า “ถ้าจะออก ก็ออกไปทำเนียบรัฐบาลอย่างเดียว”

ฝ่ายค้านคึกคักแห่ร่วมยินดี

ต่อมาเวลา 11.40 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม หลังการตั้งกระทู้ถามสดเสร็จ นายวันมูหะมัดนอร์แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีของนายพิธาทำให้จำนวน สส.ปัจจุบันมีครบถ้วน 500 คน มีองค์ประชุม 250 คน จากนั้นนายพิธาที่รออยู่หน้าห้องประชุมสภาเดินเข้าสู่ห้องประชุมทันที พร้อมกับโบกมือให้ สส. และโค้งคำนับประธานสภาฯ ระหว่างเดินไปยังที่นั่ง มี สส.พรรคร่วมฝ่ายค้านมารอจับมือแสดงความยินดี อาทิ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เข้ามาสวมกอดแสดงความยินดี เมื่อนายพิธามานั่งลงข้างๆ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ มี สส.พรรคก้าวไกลหลายคนเข้ามาห้อมล้อมจับมือแสดงความยินดี

ไอทีวีเฮศาลปกครองฯยกคำฟ้อง

ที่ศาลปกครอง ศาลปกครองสูงสุด องค์คณะที่ 2 มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางไม่รับคำฟ้องของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ร้องขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ในข้อพิพาทระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กับบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือไอทีวี ที่ระบุว่า สปน.และไอทีวี ต่างมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้แก่กันในจำนวนเงินเท่ากัน คือ 2,890.35 ล้านบาท เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว ต่างฝ่ายจึงไม่มีหนี้ที่ต้องชำระแก่กันและกัน ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า คำอุทธรณ์ของ สปน. เป็นเพียงการโต้แย้งดุลพินิจ และโต้แย้งเหตุผลในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ในข้อกฎหมายและข้อสัญญาระหว่าง สปน.กับไอทีวีเท่านั้น ไม่ใช่กรณีที่เกี่ยวกับการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาด คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดว่า สปน. และไอทีวี ต่างไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กัน เป็นอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการในเรื่องดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน และการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท ตามกฎหมาย จึงไม่ใช่เหตุที่ศาลจะมีคำพิพากษา หรือคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีนี้ และมีคำสั่งยกคำฟ้องของ สปน.

อินทัชแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯถึงผลคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีข้อพิพาทระหว่าง บมจ.ไอทีวี (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 52.92% ของทุนชําระแล้ว) และสํานักปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (สปน.)ว่า ศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษายืนตามคําพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่พิพากษายกคําร้องของ สปน. ด้วยเหตุว่าคําชี้ขาดของคณะอนุญาโต ตุลาการนั้นชอบด้วยกฎหมายมีผลให้คดีนี้ถึงที่สุด โดยไอทีวีและ สปน. ต่างไม่มีหนี้ที่ต้องชําระต่อกันอีกรวมจํานวนทั้งสิ้นกว่า 2,890 ล้านบาท ส่งผลให้ไอทีวีไม่มีหนี้ที่ต้องชําระ หรือภาระหน้าที่ หรือความรับผิด ตามสัญญาเข้าร่วมงานฯ หรือภาระผูกพันใดๆ กับ สปน. อีกต่อไป ทั้งนี้ไอทีวีจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาทิศทางของไอทีวีต่อไป

ภูมิธรรม เวชยชัย
ภูมิธรรม เวชยชัย

“อ้วน” ยักไหล่ “ทิม” รอดคดีหุ้นสื่อ

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับนายพิธา ที่โชคดีมีโอกาสได้กลับเข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯอีกครั้ง ไม่มีผลกระทบอะไรกับรัฐบาล แต่อยากเรียกร้องทุกฝ่ายไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ต้องจับมือกัน อย่าใช้กระบวนการทางการเมืองทำให้ประเทศเดินหน้าไปไม่ได้ ส่วนการตรวจสอบรัฐบาลฝ่ายค้านยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม เพียงแค่มี สส.เพิ่มอีกหนึ่งคนเท่านั้น หวังว่าจะปรับตัวดีขึ้น ถ้าฝ่ายค้านทำการเมืองในแบบใหม่จริงๆ แต่ถ้ายังยึดประโยชน์ตัวเอง ยึดความสามารถของตัวเอง ยึดความต้องการของตัวของพรรค การพัฒนาประเทศจะมีอุปสรรค เลวร้ายที่สุดคือประเทศจะเกิดวิกฤติอีก เบาลงมาคือทำให้การแก้ไขปัญหาของประชาชนล่าช้าลง จะเป็นปัญหาต่อไปได้

สอนฝ่ายค้านไม่ต้องค้านทุกเรื่อง

เมื่อถามว่าที่ผ่านมาฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลหลายเรื่อง ทั้งดิจิทัลวอลเล็ต, แลนด์บริดจ์ นายภูมิธรรมตอบว่า ฝ่ายค้านเขาให้มาทำหน้าที่ตรวจสอบ ไม่จำเป็นต้องค้านทุกเรื่อง หรือไปพุ่งเป้าขัดขวาง ทำลายการทำงานของอีกฝ่าย อยากให้ทุกฝ่ายมุ่งหน้าเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ดำเนินทุกวิถีทางให้ประเทศเดินไปข้างหน้าเพื่อผลประโยชน์ประชาชน เมื่อถามว่ามองอนาคตหากมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคก้าวไกลถือว่าน่าห่วงสำหรับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกลก็มี ไม่ได้แตกต่างจากพรรคอื่นที่มีผู้สนับสนุนจากหลากหลายอาชีพ อย่าเพิ่งไปบอกว่านี่เป็นการสนับสนุนของคนจำนวนมาก หรือคนส่วนใหญ่ของประเทศ ตอนนี้ยังพูดยาก ผลเลือกตั้งต่างหากที่จะบอกว่าคนส่วนใหญ่สนับสนุนหรือไม่สนับสนุน และต้องเป็นการเลือกตั้งที่เด็ดขาดถึงจะบอกได้ว่าตนเองเป็นผู้แทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ ไม่มีอะไรต้องหวั่นไหวทุกคนทำหน้าที่

“เรืองไกร” หว่านแหหุ้นสื่อ สส.

ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สิ้นสภาพการเป็น สส.กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวีว่า ติดใจประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญระบุการถือหุ้นสื่อเพียงหุ้นเดียวก็ผิด เป็นเรื่องที่ต้องหาข้อเท็จจริงต่อไปกรณีนักการเมือง สส. สว. คู่สมรส บุตร เตรียมคำร้องต่อกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปไล่ตรวจสอบ สส.ทั้งหมด เพราะหลายคนแจ้งทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2566 ว่า มีบัญชีหุ้น เพราะเคยยื่นคำร้อง สส.ถือหุ้นสื่อ ที่เพิ่งทราบว่าซื้อขายหุ้นหลังจากเป็น สส.แล้ว เมื่อเห็นตัวอย่างเช่นนี้ต้องดูทั้งหมด ถือเป็นลักษณะต้องห้าม เป็นหน้าที่ กกต.ต้องตรวจสอบ

ทนายจี้ ตร.เอาผิดคู่กรณี “พิธา”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายรัชพล ศิริสาคร ทนายเข้ายื่นหนังสือให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.เร่งรัดคดีหุ้นสื่อไอทีวี ที่ได้เคยแจ้งความไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้องเมื่อ 13 มิ.ย.2566 ให้ดำเนินคดีกับนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวีปี 2566 และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ร้องเรียนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี เข้าข่ายเรื่องการแจ้งความเท็จ ปลอมเอกสาร หลังพบการรายงานผลการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีขัดแย้งกับคลิปวิดีโอในที่ประชุม มี พ.ต.ท.ปริญญา เหมมาชูเกียรติกุล รอง ผกก.สำนักงานเทคโนโลยี และการสื่อสาร ในฐานะเวรอำนวยการประจำกองรักษาการณ์เป็นตัวแทนรับเรื่อง นายรัชพลกล่าวว่า ที่มายื่นเรื่องเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าไอทีวีไม่เป็นสื่อ แต่รายงานที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีเป็นสื่อจึงเป็นรายงานเท็จ และถูกนำไปเป็นเอกสารยื่นร้องเรียน กกต.มองว่าเข้าข่ายเป็นความผิด และ สน.ทุ่งสองห้องยังไม่เรียกนายคิมห์ และนายเรืองไกร เข้าไปให้ปากคำใดๆ เมื่อผลคำพิพากษาออกมาชัดเจนแล้ว พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ปชป.กังขา รบ.ปล่อยข่าวลิเทียม

ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสดที่นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) สอบถามนายกฯถึงกรณีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ แถลงระบุประเทศไทยพบแหล่งแร่ลิเทียม จ.พังงา เป็นอันดับ 3 ของโลก ใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แต่นักวิชาการหลายคนมองว่าไม่น่าจะมีมากถึงอันดับ 3 ของโลก ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็เป็นเฟกนิวส์ของรัฐบาลหลอกไปทั่วโลก ด้าน น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ชี้แจงว่า ประเทศไทยมีการสำรวจแหล่งแร่ลิเทียม 2 แหล่ง ที่ จ.พังงา คือแหล่งเรืองเกียรติ และแหล่งบางอีตุ้ม พบมีหินที่มีแร่ลิเทียมเป็นองค์ประกอบหรือแทรกอยู่ 14.8 ล้านตัน ไม่ใช่จำนวนแร่ลิเทียม ได้ให้กรมอธิบายประชาชนให้เข้าใจแล้ว ยอมรับมีการสื่อสารผิดพลาดเกิดขึ้น แต่เรามีสารตั้งต้นผลิตแบตเตอรี่ไม่ว่าจะอยู่ลำดับใด ไม่ควรด้อยค่ากัน ให้ภูมิใจประเทศไทยมีแหล่งแร่ลิเทียม เป็นฮับผลิตรถอีวี และจะบริหารจัดการลิเทียมให้อยู่คู่กับชุมชนโดยไม่ต้องกังวล

อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์
อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์

ชงร่างฯ นิรโทษกรรมฉบับ รทสช.

วันเดียวกัน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อม 14 สส.พรรค รทสช. ยื่นร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้บรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาฯ นายอัครเดชกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ยื่นร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ถือเป็นนโยบายของพรรค รทสช. ที่ต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ หลังจากประเทศเรามีความขัดแย้งทางการเมืองมานานหลายสิบปี วันนี้ต้องการให้ความขัดแย้งหายไปเพื่อใช้กลไกสภา ออกกฎหมายต้องการให้มีการนิรโทษกรรมผู้ชุมนุมทางการเมือง ให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ หลักการสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ 1.ไม่นิรโทษกรรมผู้ที่ละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 2.ไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้ทุจริตคอร์รัปชัน และ 3.ไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ที่กระทำความผิดอาญาร้ายแรง เช่น ฆ่าผู้อื่นหรือทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้สูญเสียแก่ชีวิต ทั้ง 3 ข้อนี้คือจุดยืนของพรรค

สส.ก้าวไกลโวย รบ.แจกวัวผอม

อีกเรื่อง นายศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด พรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงโครงการโคบาลชายแดนใต้ ที่นำโคไม่สมบูรณ์มาร่วมโครงการ ทั้งที่มีงบฯดำเนินการถึง 1,500 ล้านบาท ว่า กมธ.ได้ติดตามตรวจสอบ แต่เห็นภาพของวัวที่แจกจ่ายให้เกษตรกรไม่สมบูรณ์ผอมจนเห็นกระดูก โดยต้นเดือน ก.พ. กมธ.จะเข้าพบอธิบดีกรมปศุสัตว์เพื่อสอบถามความชัดเจน ฝากย้ำไปยังกรมกองต่างๆ ทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมประมงว่า ถึงเวลาที่ต้องร่วมกันทำงานดูแลผลประโยชน์ประเทศชาติอย่างจริงจัง อย่าให้ประชาชนรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังไปมากกว่านี้ อย่าปกป้องผลประโยชน์พวกเดียวกัน เพราะเห็นได้ชัดว่า การนำเข้าเนื้อหมู ตีนไก่ และเนื้อเถื่อน สร้างความเสียหายให้เกษตรกรจำนวนมาก

ดีเอสไอปัดกลั่นแกล้ง “เสี่ยเฮ้ง”

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีนายสุชาติ ชมกลิ่น อดีต รมว.แรงงาน พร้อมกลุ่ม สส.พรรค พปชร. 14 ราย ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ดีเอสไอต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อาญามาตรา 157 กรณีดีเอสไอแถลงระบุ 2 อดีต รมว.แรงงาน พัวพันหักหัวคิวส่งแรงงานไปประเทศฟินแลนด์ว่า ยืนยันว่าทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ของกฎหมาย จุดเริ่มต้นไม่ได้เริ่มจากดีเอสไอ แต่ประเทศฟินแลนด์ขอความร่วมมือมา ถ้าไม่ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 จะมีความผิดฐานละเว้นเช่นเดียวกัน ดีเอสไอไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง หรือประสงค์ให้ใครได้รับความเสียหาย เราไม่ได้ประกาศชื่อหรือเปิดเผยชื่อ และไม่หนักใจที่ถูกฟ้อง

ย้ำปี 66 ยื่น ป.ป.ช. คนละฐานความผิด

พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวอีกว่า กรณีที่ฝ่ายผู้ร้อง ระบุถึงการแถลงข่าวของดีเอสไอ เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ระบุว่า ดีเอสไอเคยส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ไปแล้วเมื่อเดือน ต.ค.2566 นั้น ขอชี้แจงว่า เป็นการนำส่งความผิดคนละมาตราเพื่อให้ความปรากฏแก่ ป.ป.ช. ขณะเดียวกันได้แยกเรื่องไว้สอบสวนเพิ่มเติม คือ เรื่องการค้ามนุษย์ จากนั้นได้ข้อมูลจากประเทศฟินแลนด์ เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้ามาร่วมดำเนินการ และเมื่อเราพบพยานหลักฐานต้องมีมติแจ้งข้อกล่าวหา และนำส่งให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ส่วนเรื่องพยานหลักฐานต่างๆที่ดีเอสไอและอัยการรวบรวมได้ หรือหลักฐานที่ฟินแลนด์ส่งให้มา เราไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช. การที่ดีเอสไออยู่ระหว่างตรวจสอบพฤติการณ์เพิ่มเติมในฐานการค้ามนุษย์ เพราะเป็นคนละฐานความผิดจากความผิดเดิมที่ได้แจ้งไป อย่างไรในเรื่องของการค้ามนุษย์ หากพบพฤติการณ์จริงต้องนำส่งให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเช่นกัน โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ 30 วัน

พรรคร่วม รบ.ดินเนอร์ครั้งที่ 2

ช่วงค่ำที่ร้านอาหารบ้านตานิด อ.สามโคก จ.ปทุมธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พร้อมหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลรับประทานอาหารร่วมกันเป็นครั้งที่ 2 มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นเจ้าภาพ บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ทันทีที่นายกฯมาถึงนายอนุทินได้นำนายกฯและนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า เดินชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่ทั้ง 3 คน จะมานั่งพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี สำหรับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่เดินทางเข้าร่วม ประกอบด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมถึงแกนนำพรรค อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รอง นายกฯและ รมว.พาณิชย์ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานที่ปรึกษาพรรค นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ

เปิดเมนูคาวหวาน-พปชร.คิวต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่ร้านอาหารบ้านตานิดอากาศค่อนข้างเย็นมีลมพัดอยู่ตลอดเวลา ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามนายกฯว่าหนาวหรือไม่ ก่อนที่นายกฯจะพยักหน้าตอบว่าหนาว และทำท่าเหมือนคัดจมูกเป็นที่น่าสังเกตว่านายกฯมีอาการไอด้วย สำหรับเมนูอาหารมื้อนี้ ประกอบด้วย เมี่ยงกลีบบัว สะเดาปลาดุก-น้ำปลาหวาน หลนปลากุเลา เกี้ยมฉ่าย ต้มบ๊วยหมูสับ แกงส้มชะอม-ไหลกุ้งสด ปลาเนื้ออ่อนทอดราดกระเทียม ยำรากบัว พะโล้ไข่เค็ม กุ้งเผา ทอดมันปลากราย ข้าวผัดปลาทู ผัดสามเหม็น ส่วนของหวานข้าวเหนียวมะม่วงและผลไม้ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัสเปิดเผยว่า ครั้งหน้าถึงคิวพรรค พปชร.เป็นเจ้าภาพ

นายกฯยันไม่มีปรับ ครม.

ต่อมาเวลา 19.05 น. นายเศรษฐาเดินออกมาทักทายสื่อมวลชนพร้อมกระเซ้าว่า มาดูว่าพรรคภท.เลี้ยงสื่อดีหรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่าเมนูอะไรอร่อยที่สุดวันนี้ นายกฯตอบว่า อร่อยทุกอย่างแต่ยังไม่ได้รับประทานพะโล้ไข่เค็ม เมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่ เมื่อถามว่าอาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง นายเศรษฐาตอบว่า เป็นหวัด แต่ไม่ได้เป็นโควิดแน่นอน เพราะตรวจมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถหยุดพักผ่อนได้เนื่องจากมีภารกิจต่อเนื่อง และวันเสาร์-อาทิตย์นี้ มีภารกิจส่วนตัวเป็นประธานงานหมั้นและงานแต่งงานของนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการบริหาร King Power เมื่อถามว่าเห็นว่าเตรียมที่จะลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา นายกฯตอบว่า เป็นเรื่องของ ครม.สัญจร ในพื้นที่ดังกล่าวพรรคเพื่อไทยมีสส.ถึง 12 คน อาจเป็นไตรมาส 2-3 เมื่อถามว่าในวงกินข้าวมีการพูดคุยถึงการปรับ ครม.หรือไม่ นายกฯยืนยันว่า “ไม่มีแน่นอน ฟังจากผมคนเดียว เอาให้สบายใจไม่ต้องห่วง วันนี้ทุกคนทำงานหนักมากอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้คำพูดพวกนี้มาทำให้เขาหมดกำลังใจ ทุกคนรู้หน้าที่หมดแล้ว”

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่