คืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค “ก้าวไกล” ยังมีคุณสมบัติเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่าการถือหุ้นไอทีวีนั้นไม่ทำให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แม้จะเป็น “หุ้นสื่อ” แต่มิได้ประกอบกิจการแล้ว อีกทั้งไม่มีรายได้จากกิจการ

ทำให้ “พิธา” ผู้ถูกร้องไม่มีความผิดหรือกระทำการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างที่มีผู้ยื่นคำร้อง สามารถทำหน้าที่ สส.ต่อไปได้

การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมุ่งไปที่ประเด็นไอทีวีได้ดำเนินการหรือยุติการดำเนินการแล้ว ซึ่งเป็นหัวใจของเรื่อง

เพราะเมื่อยุติการดำเนินกิจการแล้ว การ “ถือหุ้น” จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นนี้ “พิธา” ได้ให้น้ำหนักในการต่อสู้คดีตรงจุดนี้

ก็เป็นอันว่าเขาสามารถทำหน้าที่ สส.ต่อไปได้อย่างสมบูรณ์

ตามขั้นตอนต่อไปอย่างที่มีการเกริ่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ “ก้าวไกล” จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

พูดง่ายๆว่าเพื่อเปิดทางให้ “พิธา” ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ซึ่ง
ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านอยู่

เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีการตกลงกันล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ซึ่งเมื่อ “พิธา” เป็นหัวหน้าพรรคก็จะต้องควบตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลแบบเชิงรุกต่อไป

ว่าไปแล้ว “ชัยธวัช” นั้นแม้จะเป็นคนสำคัญของพรรคแต่คงพอใจในตำแหน่งเลขาธิการพรรคมากกว่า เนื่องจากลีลาทางการเมืองสู้ “พิธา” ไม่ได้ทั้งบุคลิกภาพและการพูดจา

...

“พิธา” นั้นมีความเป็นผู้นำในท่วงทำนองที่ทำให้มวลชนปลื้มและพึงพอใจรวมทั้งในหมู่นักการเมืองในพรรคและต่างพรรค

เพราะเขาอ่อนน้อมถ่อมตนและยึดมั่นในหลักการที่ชัดเจน

เปรียบกับ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั้นต่างกันมาก แม้จะไม่เคยผ่านงานในระดับซีอีโอมาก่อน แต่ก็เคยบริหารธุรกิจของครอบครัวมาแล้ว

พูดง่ายๆมีดีคนละแบบ

แต่ที่ต่างกันมากก็คือความคิดทางการเมืองหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ “พิธา” นั้นครบเครื่องและชัดเจนมากกว่า

หากเขาไม่ติดปัญหาทางแนวคิดทางการเมืองหลังเลือกตั้งที่ “ก้าวไกล” มาอันดับ 1 เหนือกว่า “เพื่อไทย”

เขาคงได้เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว

ไม่ใช่ “นายกฯเทพ” ระยะหนึ่งเท่านั้น

จากนี้คงจะได้เห็นบทบาททางการเมืองของเขาในฐานะผู้นำฝ่ายค้านที่จะต้องปะมือกับนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อย่างมีได้เสีย

ยังไม่ต้องพูดไกลไปถึง “อุ๊งอิ๊งค์” หัวหน้าพรรค “เพื่อไทย” ซึ่งจะต้องต่อกรในสนามเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้า

ถ้าเปรียบกันแล้ว “พิธา” น่าจะเหนือกว่าในความที่มีความคิดทางการเมืองที่ต่างกันแบบคนละชั้น อีกทั้งบุคลิกของเขาได้ใจ “แม่ยก” ไม่น้อย

ทั้งนี้ ต้องรอฉากทัศน์การเมืองอีกยกหนึ่งในวันที่ 31 ม.ค.67 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีของ “ก้าวไกล” ว่าด้วย ม.112 และล้มล้างการปกครอง หากผ่านไปได้คงทำให้การเมืองเข้มข้นขึ้น

เว้นแต่ผลจะออกมาด้านลบก็ตัวใครตัวมัน!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม