เป็นปกติก่อนปีใหม่ของทุกๆปี “นักข่าว” ประจำทำเนียบรัฐบาลจะมีการตั้งฉายารัฐบาลแบบ “หยิกเล็ก ก็เจ็บเนื้อ” แต่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

เพราะทำงานร่วมกันแต่คนละหน้าที่เท่านั้น

ในฐานะ “สื่อ” ที่ต้องรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของรัฐบาลทั้งระบบเพื่อให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งเป็นภารกิจและหน้าที่อย่างหนึ่ง

แต่ต้องอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงและความถูกต้องด้วยความรับผิดชอบและจรรยาบรรณ

ดังนั้น “นักข่าว” กับ “รัฐมนตรี” และ “นายกรัฐมนตรี” จึงมีความคุ้นเคย แต่จะสนิทสนมกันมากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องแต่ละบุคคล

นี่ว่ากันถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ

ในแต่ละปีจึงมีการตั้งฉายาไล่ตั้งแต่รัฐบาล นายกรัฐมนตรี คมวาทะต่างๆ แล้วแต่ที่ประชุมของนักข่าวจะคิดและมีมติออกมา

ใครได้รับคำชมก็พอใจใครที่โดนหนักหน่อยก็ตุ๊บป่อง...ก็เป็นอย่างนี้ แต่เหนืออื่นใดต่างๆล้วนเป็นการสะท้อนภาพไม่ต่างจากกระจกเงาบานใหญ่

ปี 66 นี้ฉายารัฐบาลคือ แกงส้ม “ผลัก” รวม นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” คือ “เซลส์แมนสแตนด์ชิน”

วาทะแห่งปีคือ “ผมทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”

“รองกอง” คือสมญาของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรัฐมนตรีพาณิชย์

“พลิกทินสู่ดาว” สมญาของ “สุทิน คลังแสง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

“ทวีสอดไส้” สมญา “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

“มาเฟียละเหี่ยใจ” สมญาของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

...

ปีนี้มีจำนวนเท่านี้คงเนื่องมาจากรัฐบาลเพิ่งเริ่มต้นทำงานแค่ 3 เดือนกว่าๆ จึงเลือกเฉพาะเท่าที่มีบทบาททางสังคมเด่นกว่าคนอื่นๆ

แน่นอนว่ารัฐบาลชุดนี้มีที่มาที่ไปที่ประหลาดสักหน่อย เพราะ “เพื่อไทย” ไม่สามารถชนะการเลือกยืนที่ 1 ได้เนื่องจาก “ก้าวไกล” มาแรงแซงโค้งอีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้อำนาจวุฒิสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้

การจัดตั้งรัฐบาลจึงต้องผสมสูตรให้ลงตัวจึงจะไปด้วยกันได้

“ก้าวไกล” พรรคที่ 1 จับมือกับ “เพื่อไทย” เพื่อตั้งรัฐบาลโดยพยายามชี้ให้สังคมเห็นว่าประชาชนมอบฉันทามติให้ แต่ก็ไปไม่รอดเมื่อ “ก้าวไกล” มีจุดยืนที่จะแก้ไข ม.112 สุดท้ายก็โดน สว.คว่ำกลางสภา “เพื่อไทย” จึงแยกร่างไปร่วมกับพรรคการเมืองอื่นตั้งรัฐบาล 11 พรรค 314 เสียง

จำเป็นต้องเอาพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ แม้ระหว่างหาเสียงประกาศว่า “มีเราไม่มีลุง” เพียงแต่ใช้วาทกรรมบอกว่าเป็นการสร้างสลายขั้วการเมืองตั้งรัฐบาลพิเศษ

ตรงนี้คือที่มาของฉายารัฐบาลคือ “แกงส้มผลักรวม”

ฉายาของนายกรัฐมนตรีนั้นชัดเจน “เซลส์แมนแสตนด์ชิน” ก็ไม่ต้องอธิบายความ มันชัดเจนอยู่แล้ว

แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่าก็คือฉายาของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ที่ว่า “มาเฟียละเหี่ยใจ” เพราะมันตรงเป้าที่สุด

“ชาดา” เป็นใครมาจากไหนก็รู้กันอยู่ เพราะถูกเรียกขานว่า “เจ้าพ่อสะแกกรัง” ที่มีอิทธิพลรับรู้กันไปทั่ว

แต่ได้รับมอบหมายได้รับผิดชอบ “ปราบผู้มีอิทธิพล” ทั่วประเทศมันจึงดูขัดกันพิลึกไม่ต่างไปจากต้องคัดใจ “ปราบพวกเดียวกันเอง” เท่าใดนัก

ปีๆหนึ่งก็มีอะไรพวกนี้ให้ได้ครื้นเครงกันบ้าง!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม