นักข่าวสภาตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎร “สภาลวงละคร” วุฒิสภารับไป “แตก ป. รอ Retire” “วันนอร์” เป็น “(วัน) นอ-มินี” “พรเพชร” ได้รับ “แจ๋วหลบ จบแล้ว” ส่วน “พิธา” จากดาวจรัสแสงกลายเป็นดาวดับ งดฉายาผู้นำฝ่ายค้าน-ดาวเด่น-คนดีศรีสภา “ชลน่าน” ครองวาทะแห่งปีตอนพลิกขั้วตั้งรัฐบาลกับ 2 ลุง โหวตนายกฯ 3 รอบคือเหตุการณ์แห่งปี 2566 “วันนอร์” ยันเป็นคนกลางไม่ใช่นอมินี “พรเพชร” รับได้สื่อตรงไปตรงมา “เศรษฐา” ย้ำยุทธศาสตร์ชาติต้องทันโลก สั่งให้ทบทวนยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ถึงรธน.ล็อกไว้ก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ บ่นไม่มีความสุขกับค่าแรงขั้นต่ำ วอนเห็นใจกันอย่าอ้างแต่ ก.ม. ลั่นจะอยู่ให้ครบ 4 ปี กางปฏิทิน 2 ม.ค. นอนทำเนียบฯ “หมอมิ้ง” มั่นใจลุยดิจิทัลวอลเล็ตไม่ผิดกฎหมาย นายกฯโยกสลับ “พีระพันธุ์” ไปคุมยุติธรรมแทน “สมศักดิ์” รีบปัดไม่เกี่ยวระเบียบราชทัณฑ์
ถึงคิวผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ตั้งฉายาประจำปีสภาผู้แทนราษฎร เป็น “สภาลวงละคร” วุฒิสภาได้ฉายา “แตก ป. รอ Retire” ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ รับฉายา “(วัน) นอ-มินี” ส่วน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็น “แจ๋วหลบ จบแล้ว”
สภาฯได้ฉายา “สภาลวงละคร”
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภามีมติร่วมกันในการตั้งฉายารัฐสภาประจำปี 2566 ตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาทุกปี ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ สะท้อนการทำงานของ สส. และ สว. ปีนี้สภาผู้แทนราษฎรได้รับฉายา “สภาลวงละคร” สภาฯที่มีการชิงไหวชิงพริบเพื่อเป็นเจ้าของอำนาจ มีการเจรจาจับมือกันหลายฝ่าย โดยในครั้งแรกพรรคเพื่อไทยเล่นตามบทเป็นมวยรอง แต่สุดท้ายใช้สารพัดวิธีพลิกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีแต่การหักเหลี่ยมเฉือนคม ตั้งแต่การเลือกนายกฯ จนถึงประธานสภาฯ แม้กระทั่งการหักหลังฝ่ายเดียวกันเองระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่เคยจับมือต่อสู้กันมา จนถึงขั้นฉีกเอ็มโอยู ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเล่นตามบทพรรคอันดับรอง จับมือกอดคอกันหวานเจี๊ยบ เปรียบเสมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่มีแต่ฉากการหลอกลวง
...
วุฒิสภา “แตก ป. รอ Retire”
วุฒิสภาได้รับฉายา “แตก ป. รอ Retire” ล้อมาจากฉายาของวุฒิสภาในปี 2565 คือ “ตรา ป.” ที่ สว.ทำหน้าที่รักษามรดก คสช. เพื่อประโยชน์ของ 2 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ หรือ ป.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ หรือ ป.ประวิตร แบบไม่มีแตกแถว แต่ในปีนี้ทั้ง 2 ป.ได้แยกทางกัน ในการลงมติเลือกนายฯที่ผ่านมา สว.ฝ่าย ป.ประยุทธ์ลงมติยอมสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ สวนทางกับ ป.ประวิตรที่งดออกเสียง และ สว.กำลังจะหมดอำนาจหน้าที่ในเดือน พ.ค.2567 จึงเป็นเสมือนการรอเวลาเกษียณ หมดเวลาการทำหน้าที่ สว.
ประธานวันนอร์ “(วัน) นอ–มินี”
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทน ราษฎรฉายา “(วัน) นอ-มินี” เนื่องจากตำแหน่งนี้เป็นที่แย่งชิงของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมาก่อน ก่อนที่จะเห็นร่วมกันว่าใช้โควตาคนนอก พรรคเพื่อไทยจึงเสนอชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานสภาฯ ซึ่งพรรคก้าวไกลก็ยอมรับ ดังนั้นนายวันมูหะมัดนอร์จึงเป็นเสมือนนอมินีของการแย่งชิงครั้งนี้ ทั้งที่จำนวนเสียง สส.ที่มีก็ไม่ได้เพียงพอต่อการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ แต่ถือเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยที่พร้อมให้การสนับสนุน ทั้งยังเคยเป็นคนของพรรคเพื่อไทยมาก่อนด้วย
ประธานวุฒิสภา “แจ๋วหลบ จบแล้ว”
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้ฉายา “แจ๋วหลบ จบแล้ว” คำว่าแจ๋วเปรียบเสมือนบทบาทของผู้รับใช้ เกือบ 10 ปีที่ผ่านมา นายพรเพชรถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่าเป็นผู้รับใช้ คสช. แต่เมื่อเข้าสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน บทบาทนายพรเพชรในฐานะประธานวุฒิสภาพยายามหลบแรงปะทะไม่แสดงความเห็นที่เสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งมากนัก รวมถึงไม่ออกสื่อเพื่อรอเวลาวุฒิสภาหมดวาระในการทำหน้าที่ สว. ในเดือน พ.ค.2567
งดผู้นำฝ่ายค้าน–ดาวเด่น–คนดี
สำหรับนายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้าน ปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาเห็นควรว่าควรงดตั้งฉายา เนื่องจากเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งยังไม่ได้เริ่มทำงานในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ส่วนฉายาดาวเด่น ปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาเห็นว่าไม่มีผู้ใดเหมาะสมและโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว ส่วนฉายาคู่กัดแห่งปี ปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาลงมติเห็นว่าควรงดตั้งฉายาคู่กัดแห่งปี เนื่องจากเพิ่งเปิดสมัยประชุมได้เพียงสมัยเดียว และเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงตรงกับช่วงปิดสมัยประชุม จึงยังไม่มีใครเป็นคู่กัดที่ชัดเจน มีเพียงการปะทะคารมในบางเหตุการณ์เท่านั้น ส่วน “คนดีศรีสภา 66” สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีความเห็นร่วมกันว่ายังไม่มี สส. หรือ สว.คนใด เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้ว
“พิธา” จากดาวจรัสแสงสู่ดาวดับ
ขณะที่ฉายาดาวดับ ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าพรรคในฐานะเเคนดิเดตนายกฯ ที่มีความโดดเด่นในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จนกระทั่งรู้ผลเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้จำนวน สส.มากที่สุด เดินสายขอบคุณประชาชน พบหน่วยงานต่างๆประหนึ่งว่าเป็นนายกฯแล้ว พลอยให้บรรดาด้อมส้มเรียกว่านายกฯพิธา ทำให้เกิดกระแส “พิธาฟีเวอร์” แต่สุดท้ายกลับไปไม่ถึงดวงดาว สภาไม่ได้เหยียบทำเนียบไม่ได้เข้า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งแขวน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จากคดีหุ้นไอทีวีที่ยังลูกผีลูกคน จึงเป็นดาวที่เคยจรัสแสง แต่ตอนนี้ได้ดับลงแล้ว
“ชลน่าน” ชิงตั้ง รบ.วาทะแห่งปี
ส่วน “วาทะแห่งปี” ได้แก่ วาทะ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หนึ่งในแกนนำทีมเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ลุกขึ้นชี้แจงคุณสมบัติแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 ว่า “เราเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเราเป็นพรรคอันดับสองมีความยินดีร่วมมือจัดตั้งรัฐบาล ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้พรรคเพื่อไทยไม่มีทางจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เราเป็นพรรคอันดับสองสามารถจะแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ ถ้ากลไกการเมืองและรัฐธรรมนูญมันปกติ แต่ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญแบบนี้เราไม่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่เราก็คิดผิด เพราะว่ายิ่งเราจับมือกันยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้”
โหวตนายกฯ 3 รอบ เหตุการณ์แห่งปี
เหตุการณ์แห่งปี คือการเลือกนายกฯ ถือเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีการเลือกนายกฯ มากถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 13 ก.ค. บุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อคือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล แต่ปรากฏว่าได้รับความเห็นชอบไม่ถึง 376 เสียง ทำให้มีการโหวตเลือกผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ รอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. แต่ในที่ประชุมรัฐสภากลับมีการถกเถียงกันถึงข้อบังคับการประชุมว่าจะสามารถเสนอรายชื่อนายพิธาซ้ำได้หรือไม่ เนื่องจากมีความเห็นว่าญัตติที่เสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกฯตกไปแล้วไม่สามารถนำขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ แม้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะเปิดลงมติตามข้อตามข้อบังคับที่ 151 โดยเสียงกึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธาซ้ำได้ จากนั้นช่วงเช้าของวันที่ 21 ส.ค. นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค้าวไกล ขณะนั้น แถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นพ.ชลน่านแถลงข่าวจับมือตั้งรัฐบาลเพื่อไทย 314 เสียงกับ 11 พรรคที่เคยเป็นพรรครัฐบาลเดิมในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเหตุให้วันที่ 22 ส.ค. นายวันมูหะมัดนอร์ได้นัดประชุมรัฐสภาอีกครั้งเพื่อพิจารณาบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ เป็นครั้งที่ 3 มีการเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ สุดท้ายก็ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาด้วยเสียง 482 ต่อ 165 เสียง งดออกเสียง 81 เสียง ทำให้นายเศรษฐาเป็นนายกฯ คนที่ 30
“วันนอร์” ยันคนกลางไม่ใช่นอมินี
ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงฉายา “(วัน) นอ-มินี” ที่สื่อสภาตั้งให้ว่ามองเป็นเรื่องหยอกล้อของสื่อ ยอมรับในสิ่งที่หยอกล้อมา แต่เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลาง ไม่ได้เป็นคนของพรรคไหน เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกลไก ให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย มีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่ได้เป็นนอมินีใคร ส่วนเหตุการณ์การประชุมสภาหลายครั้งมีการสะท้อนว่าเข้าข้างพรรคเพื่อไทยมากเป็นพิเศษนั้น ไม่เป็นความจริง ก่อนหน้านี้ทุกคนทราบดีว่าตนสนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพราะเป็นเสียงข้างมาก แต่เมื่อมาถึงจุดที่ไปไม่ได้ก็ต้องปรับกันใหม่ เพื่อให้ตั้งรัฐบาลให้ได้ เมื่อถามย้ำว่าโกรธหรือไม่กับฉายาที่สื่อสภาตั้งให้ นายวันนอร์ตอบว่า “ไม่มีครับ เป็นเรื่องธรรมดา” ส่วนฉายาสภาเป็น “สภาลวงละคร” เชื่อว่าปีหน้าคงมีฉายามาอีก เป็นเรื่องของสื่อมวลชน สนุกสนานต้อนรับปีใหม่
“พรเพชร” เชื่อสื่อตรงไปตรงมา
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงฉายา “แจ๋วหลบ จบแล้ว” ที่ได้รับจากสื่อว่า ไม่มีอะไร ไม่ร้ายแรง ขอบคุณที่ตรงไปตรงมา ที่ผ่านมา 5 ปี มีความสุข ได้ทำงานหลายอย่าง รู้สึกพอใจ แต่ทุกคนมีภาระหน้าที่ คสช.เมื่อก่อนเป็นหนึ่งเดียวกันหมด เป็นแม่น้ำ 5 สาย เราก็ต้องมีบทบาทแบบนั้น ดังนั้น บทบาทในอดีตจึงไม่เหมือนตอนนี้ เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่วุฒิสภาได้รับฉายาว่า “แตก ป. รอ Retire” นายพรเพชรตอบว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น บางทีที่ สว.บางคนหลีกเลี่ยงไป เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถาม พูดง่ายๆจะได้ไม่ต้องโดนด่า เขาบอกว่าจะครบวาระอยู่แล้วอย่ามายุ่งเลย บทบาทวุฒิสภาที่ถูกมองว่าลดลงไม่เกี่ยวกับเรื่องแพ้ชนะของพรรคการเมือง ไม่มีใครรู้ว่าพรรคไหนจะชนะเลือกตั้ง การเมืองก็เป็นแบบนี้ เช่น พรรคก้าวไกลชนะต้องได้เป็นรัฐบาล แต่ทำไมไม่ได้เป็น ตนไม่ได้รอรีไทร์ ทำหน้าที่ทุกวัน วันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องอยู่ แต่การทำงานต้องทำด้วยความเรียบร้อย
รีไทร์ไปแล้วจะพูดในสิ่งที่คิด
เมื่อถามว่าเวลาที่เหลือก่อน สว.จะหมดวาระเดือน พ.ค.2567 จะทำงานเข้มข้นขึ้นหรือไม่ นายพรเพชรตอบว่า จะทำงานจนกว่าจะพ้นตำแหน่ง เป็นหน้าที่ ไม่ใช่ว่าอยากเป็นหรือไม่ยอมเลิก แต่การทำหน้าที่มันมีหลายสิ่งหลายอย่างในบทเฉพาะกาล บางทีเราเป็นประธานก็พูดอะไรมากไม่ได้ นี่คือความลำบากของประธาน เพราะเป็นสมาชิกธรรมดาพูดได้ ถ้ารีไทร์ไปแล้วก็อาจจะพูดสิ่งที่คิด ดังนั้นตอนนี้ต้องทำงานต่อไปไม่มีวันหยุด
“ชลน่าน” ยกหลักการระบบรัฐสภา
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ขอบคุณสื่อที่ยกให้เป็นวาทะแห่งปี สิ่งที่พูดต้องการชี้ให้เห็นในเชิงระบบว่า ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญปกติ หรือการเมืองปกติ พรรคการเมืองอันดับ 1 อันดับ 2 จะไม่จับมือกันจัดตั้งรัฐบาล ในระบบรัฐสภาไม่ได้หมายความว่าพรรคอันดับ 1 จะได้เป็นรัฐบาล แต่อยู่ที่พรรคไหนรวบรวมเสียงได้มากกว่า การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคเพื่อไทยได้ที่ 1 แต่ก็เป็นฝ่ายค้าน เพราะเราไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้ ถือว่าเป็นไปตามกติกา แต่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจำเป็นต้องจับมือกัน เพราะกระแสความต้องการของประชาชนพรรคก้าวไกลได้ที่ 1 พรรคเพื่อไทยเป็นอันดับ 2 จึงต้องจับมือกันเพื่อเป็นรัฐบาล แต่การจับมือของ 2 พรรค แม้จะเป็นเสียงเกินกึ่งหนึ่งค่อนข้างมาก แต่กลไกการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญไม่ปกติ มี สว.มาช่วยเลือกนายกฯด้วย ทำให้ไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ปกติจึงจำเป็นต้องแยกตัวเพื่อตั้งรัฐบาล
นายกฯย้ำยุทธศาสตร์ต้องทันโลก
เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2566 มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วม นายเศรษฐากล่าวก่อนเริ่มประชุมว่า การวางยุทธศาสตร์ถือเป็นการวางกรอบโครงให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศรับรู้และทำงานไปในทิศทางอนาคต การมียุทธศาสตร์มีกลยุทธ์การทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่เชื่อกับการวางแผนแล้วล็อกตัวเองไว้ยาวนานเกินไป ไม่มีใครที่วางแผนไว้ยาวนานถึง 20 ปี กระทั่ง 5 ปี ยังทำได้ยาก โลกนี้เปลี่ยนไปแล้วและจะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือแม้กระทั่งพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ๆที่จะมากำหนดทิศทางโลก
สั่งทบทวนยืดหยุ่นตามสถานการณ์
นายกฯกล่าวว่า เวลาไปเจรจากับต่างประเทศนี่คือเรื่องแรกที่หยิบยกมาพูดคุยกันเป็นจุดเริ่มต้นของ War of Talent ที่ทุกบริษัท ทุกรัฐบาล ทุกประเทศทั่วโลก ดึงดูดคนที่มีความสามารถไปทำงานและเป็นเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ อยากให้แผนยุทธศาสตร์ต้องมีความคล่องตัว ให้มีการทบทวนและมีความยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก ฝากให้ที่ประชุมช่วยกันพิจารณารูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกในวันนี้ และไม่ปิดกั้นอนาคตของประเทศชาติ เพื่อให้การพัฒนาของลูกหลานพวกเราในอีก 20 ปีข้างหน้าไม่ถูกผูกมัดด้วยความคิดของคนรุ่นเรา ให้พวกเขามีโอกาสปรับเข้ากับคนรุ่นใหม่ ที่จะเติบโตขึ้น ให้มีโอกาสเลือกทิศทางในการวางยุทธศาสตร์ และก้าวไปพร้อมๆกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ถึง รธน.ล็อกไว้ก็ปรับปรุงแก้ไขได้
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า ยุทธศาสตร์ชาติต้องเป็นไปตามบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา ไปเร็วมาก การปรับเปลี่ยนแล้วแต่ความเหมาะสม เชื่อว่าข้อความที่ส่งไปความหมายชัดเจน หากเราจะดึงผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาในประเทศ ก็มีสงครามดึงคนเก่ง เมื่อ 3 ปีที่แล้วเวลาไปดึงดูดนักลงทุนเข้ามา ไม่มีใครพูดเรื่องพลังงานสะอาดเลยใช่หรือไม่ แต่วันนี้เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง เมื่อถามว่าแต่ยุทธศาสตร์ชาติถูกล็อกไว้โดยรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร นายเศรษฐาตอบว่า มันกว้าง มีขอบเขตพื้นที่ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้
บ่นไม่มีความสุขกับค่าแรงขั้นต่ำ
นายเศรษฐายังกล่าวถึงปัญหาการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำที่ยังไม่ตรงความต้องการว่า อย่างที่รมว.แรงงานแจ้งไป ก็มีการตั้งคณะอนุกรรมการและดูเป็นรายอำเภอ รายอาชีพไป “แน่นอนผมไม่มีความสุข เชื่อว่า รมว.แรงงานก็ไม่มีความสุข ท่านเองก็อึดอัด เพราะมีกลไกกำหนดค่าแรงอยู่เหมือนกัน ของพวกนี้เหมือนอย่างที่ผมบอก มันเป็นเรื่องจิตใต้สำนึก มันเป็นเรื่องของความเหมาะสมหลายๆ ประเทศ อย่างเมื่อคืนได้เจอกับนายกฯมาเลเซียก็บอกว่าถ้าเราไม่สามารถยกค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาได้ ความเจริญเติบโตของประเทศจะต่ำมาก มันเป็นเรื่องใจเขาใจเรา เรื่องของไตรภาคีก็เป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องกฎหมายก็เป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องข้อบังคับก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนไทยเราอยู่ด้วยกัน เราอยู่ด้วยกันด้วยอะไร ด้วยความอยากให้ทุกคนมีความสุข อยากให้ทุกคนมีกินมีใช้ตามความเหมาะสมใช่หรือไม่ อย่างกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้นค่าแรงแค่ 2 บาท”
วอนเห็นใจกันอย่าอ้างแต่ ก.ม.
นายกฯกล่าวว่า จะพูดอย่างไรก็ตามว่านายกฯไม่มีอำนาจ เป็นเรื่องของไตรภาคี เข้าใจหมดทุกอย่าง ทุกคนเข้าใจเรื่องกฎหมาย แต่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน บางทีไม่ต้องเอากฎหมายมาจับ แต่ต้องเอาความเข้าใจความเห็นใจซึ่งกันและกันมาพูดบ้างได้ไหม ในภาวะที่เศรษฐกิจเราเดือดร้อนฝากไว้ด้วยแล้วกัน ต้องพยายามต่อไป เป็นหน้าที่เมื่อมาอยู่ตำแหน่งนี้แล้วพยายามแก้ไขปัญหาไป ปัญหามีก็ต้องแก้ ต้องพูดจาให้มันชัดเจน ขอร้อง อ้อนวอน วิงวอน เหตุผลมาพูดจากัน อย่าเอาเรื่องที่มันไม่เป็นความจริงมาพูดว่าเขาย้ายฐานผลิต มันไม่ใช่หรอกครับ ว่ากันตามความเหมาะสมเราเคยพูดเป็นรายจังหวัด อาจต้องพูดเป็นรายอำเภอ เพราะบางอำเภอ อาจมีความต้องการแรงงานแตกต่างกันไป เราเองต้องฟังฝ่ายนายจ้างด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ฟัง มีหลายมิติที่ต้องพูดคุยกัน ไม่อยากใช้พื้นที่ของพี่น้องสื่อมวลชนมากดดันทุกฝ่าย เราควรพูดจากันด้วยจิตใจที่โอภาปราศรัย เห็นใจซึ่งกันและกัน ในแง่ของเพื่อนมนุษย์มากกว่า
หวังเศรษฐกิจในปีหน้าจะดีขึ้น
เมื่อถามว่าคาดหวังกับเศรษฐกิจในปีหน้าอย่างไร นายเศรษฐาตอบว่า หวังว่าจะดีขึ้นเป็นธรรมดาของคนที่มาทำงานมาอยู่ตรงนี้เรามาเพื่ออะไร เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น ต้องพยายามทำในหลายๆมิติ ไม่ได้มาทำแค่ค่าแรงขั้นต่ำอย่างเดียว มาดูเรื่องลงทุน การเจรจาสนธิสัญญาทางการค้าดูเรื่องสิทธิพื้นฐาน เรื่องการเลือกเพศสภาพ การประกอบอาชีพ หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆของสิทธิเสรีภาพที่ควรจะได้อากาศสะอาด เราต้องทำกัน และหลังปีใหม่จะไปภาคเหนืออีก ไปช่วยกำกับว่าตรงนี้ต้องดีขึ้น คิดว่าปีใหม่นี้ถือเป็นนิมิตหมายใหม่ ในเรื่องของวิธีการทำงาน เราต้องช่วยกันทำงานดูแลพี่น้องประชาชนทุกคน
ลั่นสู้อยู่แล้วตั้งใจอยู่ให้ครบ 4 ปี
จากนั้นเวลา 13.47 น. นายเศรษฐาเดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้ามายังห้องผู้สื่อข่าว 2 พบปะพูดคุยกับสื่อมวลชน พร้อมเปิดใจตอบข้อซักถามถึงความตั้งใจจะอยู่ 4 ปีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ความตั้งใจผมอยู่ 4 ปี” เป็นธรรมดาก็ต้องสู้เยอะ สู้กับตัวเอง สู้กับความคาดหวังความต้องการของประชาชน สู้อยู่แล้ว ถ้าเราหยุดทำงานไม่มีผลงานเมื่อไหร่มันบ่งบอกถึงจุดจบ เมื่อถามว่าเตรียมพลังไว้เต็มที่สู้ไหวใช่หรือไม่ นายกฯตอบว่า “so far so good” ยังไหว ไม่มีอะไรทำให้บั่นทอนหรือคิดถอย เมื่อถามว่า 3 เดือนที่ผ่านมารู้สึกตัวเองแก่ลงหรือไม่ นายกฯยอมรับว่า ร่างกายแย่ลง แต่มีความอดทนสูงขึ้นเยอะ ปรับการทำงานอยู่ตลอดทุกเรื่อง เมื่อถามว่าในเชิงธุรกิจเวลาสั่งการอาจต้องการเห็นผลทันที แต่ในภาคราชการอาจติดขัดข้อกฎหมาย นายเศรษฐาตอบว่า เรื่องนี้เตรียมใจมาแล้ว ทราบว่ามีขีดจำกัดในการทำงาน เพราะมีเรื่องกฎหมายและหลายเสาหลักที่เข้ามาตรวจสอบ การทำงานของเราจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเคารพองค์กรอิสระที่จะเข้ามาตั้งข้อสงสัย ถือเป็นเรื่องธรรมดา การแก้ปัญหาแม้ปากจะพูดออกไปแล้ว แต่ยังมีอีกหลายขั้นตอน กว่าจะทำได้จึงต้องระมัดระวัง เพราะสิ่งที่นายกฯ พูดคนก็คาดหวัง ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็จะผิดหวัง จึงต้องปรับระหว่างความเป็นไปได้และการสื่อสารออกไปรวมถึงเงินดิจิทัลด้วย
ไม่มีสิทธิพูดว่าแฮปปี้–ไม่แฮปปี้
เมื่อถามว่าแรงงานก็ไม่แฮปปี้ นายกฯ ก็ไม่แฮปปี้ การพูดแบบนี้หลายๆครั้งจะถึงใจผู้บริหารคนที่ให้เงินเดือนได้หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสื่อด้วยว่าเห็นด้วยหรือไม่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจิตใต้สำนึก จุดยืนชัดเจนอยู่แล้ว สื่อถามว่าไม่มีความสุขเรื่องไหนก็บอกว่าไม่มีความสุขเรื่องนี้ เมื่อถามว่าแล้วสิ่งที่แฮปปี้ที่สุดตลอด 3 เดือนคืออะไร นายกฯตอบว่า ยังไม่มีอะไรที่แฮปปี้ที่สุด ทุกอย่างต้องทำให้ดีขึ้น ปรับปรุงได้หมด เมื่อถามว่าการได้มาเป็นนายกฯถือว่าแฮปปี้หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า เป็นหน้าที่ ไม่สิทธิว่าแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้ เหนื่อยหรือไม่เหนื่อยไม่สิทธิพูด เมื่อเสนอตัวเข้ามาทำแล้วต้องทำให้เต็มที่ “คุณต้องมีความสุขกับงาน คุณต้องหลงรักงาน ไม่อย่างนั้นคุณไม่สามารถทำได้หรอก 4 ปี เพราะคุณแบกความหวังคน 69 ล้านคนไว้คุณต้องทำให้เต็มที่”
ประกาศไปชี้แจงงบฯ 67 ที่สภาเอง
นายกฯกล่าวถึงการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 3-5 ม.ค.ว่า จะไปชี้แจงด้วยตัวเอง ลงตารางงานไว้แล้ว เมื่อถามว่ากังวลกับการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า กังวลทุกเรื่อง ถ้าไม่กังวลก็คือไม่แคร์กังวลเพราะอยากทำให้ดีขึ้น และอยากชี้แจงให้ฝ่ายค้านสบายใจ ชี้แจงคนที่มีความข้องใจให้สบายใจขึ้น ยอมรับกังวลเรื่องการสื่อสาร และวิธีการที่ต้องพูดรายละเอียดของงบฯ เมื่อถามว่าฝ่ายค้านบ่นว่าได้รับการจัดสรรเวลาอภิปรายน้อย นายเศรษฐาตอบว่าไม่ได้เป็นคนให้เวลา ต้องไปพูดคุยกันเองขอทำหน้าที่ชี้แจง
กางปฏิทิน 2 ม.ค.นอนทำเนียบฯ
นายกฯยังกล่าวถึงภารกิจช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ว่าไม่ได้แจกการบ้าน ต่างคนมีหน้าที่แตกต่างกันไปมีหลายเรื่องที่อยากพูด แต่พูดไปจะถูกหยิบไปเป็นวาทกรรม หลักๆอยากให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีกินมีใช้สุขภาพแข็งแรง ไม่อยากให้ดูแค่ช่วงปีใหม่อยากให้ดูระยะยาวจนจบภารกิจของนายกฯ 4 ปี เมื่อถามว่าระยะเวลา 4 ปี อาจน้อยไปจะไปต่อหรือเปล่า นายเศรษฐาตอบว่าเอาตรงนี้ก่อน เขาเลือกมาให้อยู่ 4 ปี รัฐบาลนี้มีภารกิจเยอะมากเชื่อว่ารัฐมนตรีของทุกพรรคพยายามทำงาน สำหรับตนมีภารกิจส่วนตัวที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ สื่อไม่ต้องตาม ให้ไปพักผ่อนกันได้ ไม่ได้ไปกับครอบครัว แต่มีเพื่อนไปด้วย 200 คน ส่วนเรื่องการนอนค้างที่ทำเนียบรัฐบาลให้ทีมงานเตรียมดูว่าจะให้เข้ามานอนวันไหนไม่แน่ใจว่าวันที่ 2 ม.ค.นี้จะนอนได้หรือไม่ คงต้องดูฤกษ์ก่อน แต่วันที่ 1 ม.ค.ไม่อยากนอน วันที่ 2 ก็ดีนะ เพราะว่าตื่นมาวันที่ 3 ไปทำบุญที่กระทรวงการคลัง
มี “เศรษฐา” เป็นนายกฯคนเดียว
ด้าน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงระยะเวลา 4 ปีของรัฐบาล จะเห็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้ามามีตำแหน่งในรัฐบาลหรือเป็นนายกฯ หรือไม่ว่า น.ส.แพทองธารยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย รัฐบาลให้ความสำคัญให้เข้ามาช่วยงานรัฐบาล แต่แน่นอนที่สุดนายเศรษฐา ทวีสิน คือนายกฯ ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องปรับเปลี่ยน เมื่อถามว่าปีหน้าจะเห็นนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเข้ามาให้คำแนะนำแก่รัฐบาลหรือไม่ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า ความคิดเห็นของทุกคนที่เป็นประโยชน์ไม่ใช่แค่ของนายทักษิณ รัฐบาลรับฟังทั้งสิ้น นายเศรษฐารับฟังตลอดโดยเฉพาะเสียงประชาชน เมื่อถามย้ำว่าจะทำให้เกิดความสับสนหรือไม่ว่าจะต้องฟังเสียงนายเศรษฐา หรือนายทักษิณ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า ยืนยันว่านายกฯคือนายเศรษฐา เมื่อถามอีกว่าปีหน้าประเทศไทยจะมีนายกฯ 2 คนบริหารประเทศ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า “ผมไม่ได้พูดไม่ได้หมายความอย่างนั้น สื่อที่ถามฟังภาษาไทยออกหรือไม่ หรือหูอื้อ ผมพูดชัดเจนว่ามีนายกฯคนเดียว” อำนาจไม่เคยไปจากที่ไหนเลย อยู่ที่นายกฯชื่อเศรษฐา ทวีสิน เมื่อถามย้ำว่าเดือนพ.ค.2567 เมื่อหมดอำนาจ สว. จะไม่มีการเปลี่ยนตัวนายกฯใช่หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า ไม่มี ทำไมต้องเปลี่ยน ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไร เสถียรภาพภาครัฐถือว่าแข็งแกร่ง ถ้ามุ่งต่อประโยชน์ประชาชนถือว่าเสียงเราดัง
มั่นใจลุยดิจิทัลวอลเล็ตไม่ผิด ก.ม.
นพ.พรหมินทร์ยังกล่าวถึงนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต มั่นใจจะสำเร็จตามกรอบเวลาหรือไม่ว่า ยังเป็นตามแผนเร็วๆนี้จะได้คำตอบกลับมาจากคณะกรรมการกฤษฎีกาคงเสนอเข้าสภาฯ หลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 คงเป็นตามแผน เมื่อถามว่าไม่ว่ากฤษฎีกาตอบมาอย่างไรก็จะส่งเข้าไปสภาใช่หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำถูกกฎหมาย และกฤษฎีกาคงมีข้อแนะบางประการ ก่อนจะออกโครงการนี้เราศึกษาข้อกฎหมายต่างๆ ส่วนความรับผิดชอบหากร่างกฎหมายกู้เงิน 5 แสนล้านบาทไม่ผ่านสภา ความรับผิดชอบที่สำคัญคือความรับผิดชอบประชาชน เราไม่ได้พยายามทำแหกกฎหมาย เราศึกษากฎหมายจนชัดเจนแล้วถึงเดินตาม ไม่น่าจะเกิดปัญหาสะดุดอะไร
ของขวัญปีใหม่สมุนไพร 3 แสนชุด
น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง กล่าวว่า ตามนโยบาย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ประกาศนโยบายกระทรวงสาธารณสุข 3 D “Drink Don’t Drive” ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ รณรงค์ความปลอดภัยในการขับขี่และลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ ในส่วนกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเดินหน้าขับเคลื่อนต่อนโยบายดังกล่าว จัดสรรผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนทั่วประเทศ 3 แสนชุด ประกอบด้วย ยาดมสมุนไพรเบญจชื่นจิต สรรพคุณหอมเย็น ใช้ในการบำรุงหัวใจ ช่วยให้ผ่อนคลาย ผิวเปลือกส้มโอ ใช้ในการแก้ลม วิงเวียนและหน้ามืด น้ำมันหอมระเหยกุหลาบ ช่วยให้ผ่อนคลาย นอกจากนี้ พิมเสน การบูร เมนทอล และสมุนไพรอื่นๆยังช่วยในการบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะและคัดจมูก ยาแก้ไอสมุนไพร สรรพคุณแก้อาการเจ็บคอ ช่วยให้ชุ่มคอ อาการไอลดลง และยาหอมนวโกฐ สรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียนอาเจียน การใช้ยาสมุนไพรเป็นภูมิปัญญาที่สะท้อนให้เห็นแง่มุมวิถีชีวิต ปัจจุบันก็ยังคงใช้ในชีวิตประจำวัน
สลับ “พีระพันธุ์” ดู ยธ.แทน “สมศักดิ์”
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ลงนามคำสั่งสำนักนายก รัฐมนตรีที่ 381/2566 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกฯ สาระสำคัญ คือการมอบหมายและมอบอำนาจให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ปฏิบัติราชการแทนนายกฯ การมอบหมายและมอบอำนาจให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ปฏิบัติราชการแทนนายกฯ กระทรวงสาธารณสุข และการมอบหมายและมอบอำนาจให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ ปฏิบัติราชการแทนนายกฯ กระทรวงยุติธรรม (ยกเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ)
รีบปัดไม่เกี่ยวระเบียบราชทัณฑ์
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการแบ่งงานรองนายกฯใหม่ ให้นายสมศักดิ์รับผิดชอบกระทรวงสาธารณสุข สลับกับกระทรวงยุติธรรมที่ให้นาย
พีระพันธุ์รับผิดชอบดูแลว่า อย่าไปคิดมาก พิจารณาตามทักษะความรู้ปรับให้ตรงจุด นายพีระพันธุ์ก็ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย เราไม่ได้ยึดติดว่าใครอยู่พรรคไหนแล้วต้องอยู่ตรงนั้นเสมอไป เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายภูมิธรรมเป็นผู้รับผิดชอบดูแล สะท้อนให้เห็นการทำงานหลายภาคส่วน หลายพรรค สามารถทำงานร่วมกันได้ เมื่อถามว่าสาเหตุที่สลับกระทรวงยุติธรรมถูกเชื่อมโยงว่าเป็นเพราะนายสมศักดิ์ออกมาพูดเรื่องระเบียบกรมราชทัณฑ์หรือไม่ นายเศรษฐาส่ายหน้าปฏิเสธว่า ไม่มีเรื่องนี้แน่นอน ไม่เกี่ยวกัน
“วันนอร์” จับตาแก้ รธน.ปีหน้า
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองปี 2567 ว่า ปีหน้าประชาชนคงได้ติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด มีหลายเรื่องที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ เพื่อให้ประเทศเปลี่ยนแปลง เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญคงมีความคืบหน้าการทำประชามติ และสรรหาหรือเลือกกรรมการที่จะเข้ามาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นใหญ่ของการเมืองปีหน้า และปีหน้ารัฐบาลจะทำงานครบ 1 ปี ผลงานรัฐบาล ตลอดจนการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชน ประชาชนคงต้องประเมินผลทุกฝ่ายอย่างใจเป็นธรรม เพื่อให้ทุกฝ่ายปรับปรุงการทำงานต่อไป
สภาฯพร้อมรับอภิปรายงบฯปี 67
ที่รัฐสภา ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รักษาราชการแทนเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เอกสารร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ส่งมาถึงสภาผู้แทน ราษฎรเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. สภาฯต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 105 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด หรือภายในวันที่ 8 เม.ย.2567 โดยประธานสภาฯ กำชับให้เตรียมห้องประชุมให้หน่วยงานมาสนับสนุนข้อมูลให้ ครม.ชี้แจง
5 อันดับกระทรวงที่ได้งบมากสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2567 วงเงินรวม 3.48 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2566 จำนวน 2.95 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1.รายจ่ายประจำ 2.53 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 72.7 ของวงเงินงบประมาณ 2.รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 118,361 ล้านบาท 3.รายจ่ายลงทุน 717,722 ล้านบาท 4.รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 118,320 ล้านบาท หากจำแนกเป็นงบประมาณตามกระทรวงต่างๆ พบว่า 5 อันดับที่ได้งบมากสุดได้แก่ 1.กระทรวงมหาดไทย 353,127 ล้านบาท 2.กระทรวงศึกษาธิการ 328,384 ล้านบาท 3.กระทรวงการคลัง 327,155 ล้านบาท 4.กระทรวงกลาโหม 198,320 ล้านบาท 5.กระทรวงคมนาคม 183,635 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายงบกลางอยู่ที่
606,765ล้านบาท
นายกฯร่วมยินดีไทยรัฐก้าวสู่ปีที่ 75
เมื่อเวลา 11.10 น. ที่สำนักงาน นสพ.ไทยรัฐ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เดินทางมาร่วมรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดของนายกำพล วัชรพล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 27 ธันวาคมซึ่งยูเนสโกได้ยกย่องนายกำพลเป็นบุคคลสำคัญของโลก โอกาสนี้นายเศรษฐาได้ร่วมแสดงความยินดีกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เนื่องในโอกาสครบรอบ 74 ปี ก้าวเข้าสู่ปีที่ 75 โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ มาร่วมแสดงความยินดีกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐด้วย นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ข้าราชการทหาร ตำรวจ และองค์กรต่างๆ รวมทั้งบุคคลทั่วไป นำกระเช้าดอกไม้มาร่วมแสดงความยินดีในโอกาสหนังสือพิมพ์ไทยรัฐครบรอบ 74 ปี พร้อมกับบริจาคเงินเข้ามูลนิธิไทยรัฐ เพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่บรรดานักเรียนกันจำนวนมากด้วยเช่นกัน