หมดเวลาชาร์จแบตฯ เข้าโหมดทำงานตามปกติ “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กลับเข้าประจำการตึกไทยคู่ฟ้า ลุยเหยียบคันเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ แบกความหวังหลังแอ่นให้ประชาชนต่อไป

ภารกิจปลายปีที่ต้องมีของขวัญให้คนไทยใจชื้นบ้าง อาทิ แก้หนี้นอกระบบ ตรึงราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม เบรกขึ้นค่าไฟฟ้าไม่ให้พุ่งสุดโต่งเกินไป ยืดเวลาคงราคาพลังงาน ลดภาระค่าครองชีพพอให้ชาวบ้านหายใจคล่องขึ้น ไม่ต้องขวัญหนีดีฝ่อต้อนรับ พ.ศ.ใหม่

ขณะที่หลายกระทรวงแข่งตีปี๊บ แถลงผลงานสวยหรูรอบปี และสิ่งที่จะเดินหน้าผลักดันปีหน้า คู่ขนานกับการจัดโปรโมชันมหกรรมลดราคาสินค้า คืนความสุขเล็กๆน้อยๆให้คนไทยช็อปปิ้งของราคาถูกส่งท้ายปี

แต่ก็เป็นเพียงนโยบายรูทีนทั่วไปที่ทุกรัฐบาลทำกัน ไม่ได้เรียกเสียงว้าว ตื่นตาตื่นใจอะไรเป็นพิเศษ

ผ่านมา 3 เดือน ผลงานหลัก “นายกฯนิด” ยังไม่เด่นชัดเป็นรูปธรรม โครงการดิจิทัลวอลเล็ตติดหล่ม ขึ้นค่าแรงทั่วประเทศไม่ราบรื่น ฝ่ายนายจ้างพยศ ไม่ทบทวนปรับขึ้นค่าแรงให้ลูกจ้างตามที่นายกฯร้องขอ

นโยบายเอกที่หาเสียงไว้ติดขัด ต้องตามวัดฝีมือกันต่อปี 2567 โดยเฉพาะปัญหาปากท้องที่ต้องเร่งเครื่องอีกยกใหญ่ให้คนไทยพ้นสภาพปากกัดตีนถีบ

ยังต้องหืดจับโจทย์เรื้อรังทางเศรษฐกิจให้ตามแก้ไม่รู้จบ

แต่โจทย์เฉพาะหน้าที่ต้องเตรียมรับแรงกระแทกให้ดีคือ คิวพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วาระแรก ระหว่างวันที่ 3–5 ม.ค.2567 ที่ฝ่ายค้านตั้งท่าจัดหนักใส่รัฐบาล

...

สนามสอบแรกของ “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในบทผู้นำฝ่ายค้านคนใหม่อย่างเป็นทางการ เตรียมปล่อยของ โชว์ฟอร์มให้เข้าตาประชาชนมากที่สุด

ถ้าฝ่ายค้านเปิดแผลรัฐบาลได้กว้างเท่าไร ต้นทุนความเชื่อมั่นก็ยิ่งลดลง และหากความศรัทธารัฐบาลร่อยหรอ อาการเบื่อนายกฯของประชาชนก็จะเกิดเร็วขึ้น

แม้รัฐบาลจะกุมเสียงข้างมาก แต่ก็ชะล่าใจ ประมาทไม่ได้

ไฟต์บังคับ “นายกฯเศรษฐา” ต้องเร่งสร้างผลงานมือเป็นระวิง และอุดช่องโหว่ทุจริตไปในตัว คู่ขนานไปกับการบริหารอารมณ์ประชาชนให้ดี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเอาไว้

ในภาวะที่กำลังมีการปั่นกระแสทิ้งทวนปลายปี ขยายประเด็นสิทธิพิเศษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องรับโทษนอนคุก แต่ถูกส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า 4 เดือน ไม่หายสักที รอเวลาเข้าเงื่อนไขได้รับพักโทษ กลับไปคุมขังอยู่ที่บ้าน ตามระเบียบใหม่กรมราชทัณฑ์

ท่ามกลางข้อสงสัยป่วยจริงหรือละครตบตา อย่างที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี แอ่นอกยอมรับเคส “ทักษิณ” เข้าข่ายคุมขังนอกเรือนจำได้

ปมล่อแหลมเขย่ามาตรฐานกระบวนการยุติธรรม ท้าทายอารมณ์คนในสังคม

กระแสรุกไล่ “ทักษิณ” รุนแรงขึ้น หลังครบเดดไลน์รักษาตัวนอกเรือนจำ 120 วัน จะต้องมีคำตอบจะถูกส่งตัวกลับไปนอนคุกหรือไม่

ก๊วนขาประจำ ทีม สว.ตัวตึงโหมโรงตั้งคำถาม 2 มาตรฐาน เป็นนักโทษที่ได้รับการประคบประหงมดูแลดีกว่านักโทษคนอื่นๆ สอดรับท่าทีคู่กัดทีมนายใหญ่ วัชระ เพชรทอง อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ส่งเรื่องให้คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากล

ห้าวถึงขั้นจะนำคณะ กมธ.บุกโรงพยาบาลตำรวจ พิสูจน์อดีต “นายกฯทักษิณ” พักรักษาตัวอยู่จริงหรือไม่ เช่นเดียวกับก๊วนนักร้องก็เตรียมเช็กบิลยื่น ป.ป.ช.เอาผิดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกระเบียบช่วยอดีตนายกฯ

ขบวนการต้าน “ทักษิณ” รับลูกเป็นปี่เป็นขลุ่ย โหมปั่นอารมณ์ประชาชน ยืมมือกระแสสังคมสร้างแรงกดดัน ต่อต้านการกลับไปรักษาตัวที่บ้าน

เติมหัวเชื้อหมั่นไส้นายใหญ่ที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้จุดติดง่ายขึ้น หวังผลสร้างแรงกระเพื่อมสะเทือนถึงสถานภาพรัฐบาล

อาการที่ “นายกฯนิด” น้ำท่วมปาก บอกไม่รู้ไม่เห็น โยนเป็นหน้าที่กระทรวงยุติธรรมให้เป็นผู้ชี้แจง

แต่ยิ่งรัฐบาลตีกรรเชียงหนี ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลอาการป่วยอดีตนายกฯ ก็ยิ่งสร้างความคลุมเครือ เพิ่มความหวาดระแวงให้สังคมมากขึ้น

ถือเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่นายกฯต้องบริหารอารมณ์ของประชาชนให้ได้ นอกเหนือจากการเร่งสร้างผลงาน แม้สถานการณ์ในสภาฯจะแข็งโป๊ก มีเสียง สส.ในมือท่วมท้น แต่ห้ามย่ามใจมองข้ามความรู้สึกสังคม

เพราะสิ่งที่อยู่เหนือเสียงในสภาฯคือศรัทธาประชาชน เป็นภูมิคุ้มกันรัฐบาลที่ดีที่สุด.

ทีมข่าวการเมือง

คลิกอ่านคอลัมน์ "วิเคราะห์การเมือง" เพิ่มเติม