“เศรษฐา” โชว์วิชั่นกล่อม 500 นักธุรกิจญี่ปุ่นเพิ่มเงินลงทุนในไทยอวดโครงการแลนด์บริดจ์ เส้นทางการค้าใหม่ของโลก ปลื้ม 7 ค่ายรถยักษ์ใหญ่จ่อลงทุนอีก 8.2 หมื่นล้านใน 5 ปี ลั่นสิ่งที่พูดไว้ 4 ปีทำเสร็จหมด สวนข้ามประเทศเสียงวิจารณ์ผลงานรัฐบาล 90 วันไร้โรดแม็ป ยกกรณีลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร บูมท่องเที่ยว ล่าทุนนอก การันตีผลงานชัดเจนจับต้องได้ “พิธา” ตั้งโต๊ะชำแหละ 90 วันรัฐบาลเศรษฐา 1 จวกแจกเงินหมื่นดิจิทัลฯคิดไปทำไปไม่ตรงปก สอนเชิงนายกฯบริหารประเทศไม่เหมือนเอกชน ขู่แจงฝ่ายค้านช่วงอภิปรายงบฯไม่ดีพอ เจอยื่นซักฟอก กกต.ฟัน “พัฒนา สัพโส” หาเสียงเกินเวลา มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ “สส.สกลนคร” อ้างแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่มีเจตนา มั่นใจไม่ถึงขั้นโดนใบเหลือง-ใบแดง
รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เดินหน้าพิสูจน์ฝีมือการทำงาน ทั้งเร่งรัดงานตามนโยบายที่หาเสียงไว้และเดินสายหารือในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อดึงเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มากขึ้น ล่าสุดระหว่างนายกฯ ไปญี่ปุ่นเพื่อร่วมประชุม สุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ได้หารือกับ 7 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ที่จะเพิ่มเงินลงทุนในไทยอีก 8.2 หมื่นล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า
“เศรษฐา” โชว์วิชั่นจีบ 500 นักธุรกิจยุ่น
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ธ.ค. (ตามเวลา ท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง) ที่โรงแรมอินพีเรียลโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายไซโต เค็น (H.E.Mr.Saito Ken) รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อช่วงเย็น วันที่ 14 ธ.ค. เข้าเยี่ยมคารวะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง จากนั้นนายเศรษฐากล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา “Thailand-Japan Investment Forum” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุน (บีโอไอ) มีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมเข้าร่วม โดยมีนายไซโตรวมถึงนักลงทุน ญี่ปุ่นเข้าร่วมงานกว่า 500 คน เป็นการสัมมนาใหญ่ระหว่างสองประเทศด้านเศรษฐกิจครั้งแรก หลังสถาน การณ์โควิด-19 คลี่คลาย นายเศรษฐากล่าวปาฐกถา ตอนหนึ่งว่า เป็นโอกาสอันดีที่จะได้กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาที่รัฐบาลไทยเร่งดําเนินการ เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
...
อวยมิตรแท้ 136 ปี อ้าแขนรับทุนญี่ปุ่น
นายเศรษฐากล่าวว่า ขอยก 3 ประเด็น คือ ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีกว่า 136 ปี เป็น มิตรแท้ที่มีความสัมพันธ์กันในทุกระดับ ทั้งราชวงศ์ รัฐบาล และภาคธุรกิจ ไปถึงภาคประชาชน มีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในไทยกว่า 6,000 บริษัท มีส่วนในการ ผลักดันเศรษฐกิจไทย ข้อสองรัฐบาลมีแนวทางกระตุ้น เศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมเอไอ การวิจัยและพัฒนาสตาร์ตอัพ ให้เติบโตในเวทีโลก สอดคล้องกับนโยบายญี่ปุ่น ที่เน้นเทคโนโลยีคุณภาพเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หวังว่าไทยจะเป็นจุดมุ่งหมายของพวกท่าน ขอขอบคุณ นักลงทุนญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับประเทศไทยเป็นเวลา 50 ปี ที่อุตสาหกรรมญี่ปุ่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เราไม่ลืมและสนับสนุนให้แข่งขันเติบโตได้เพื่อเปลี่ยน ผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ และส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์สู่ระดับสากล ด้วยการทูตเชิงวัฒนธรรม พัฒนา 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ต่อยอดภูมิปัญญาเป็นโอกาสต่อยอดของญี่ปุ่น
ตีปี๊บแลนด์บริดจ์เส้นทางการค้าใหม่
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า 3.ด้านแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของไทย รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางรางและทางอากาศ ยกระดับระบบ คมนาคมขนส่ง นอกเหนือจากการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แล้ว รัฐบาลยังมุ่งมั่นจะผลักดันโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มูลค่าเงินลงทุนเบื้องต้นกว่า 4 ล้านล้านเยน เพื่อสร้างเส้นทางการค้าใหม่ของโลก เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ด้วยท่าเรือ ระบบราง และระบบถนน ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของภูมิภาคและระดับโลก ขอเชิญชวนให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้าร่วมศึกษาและลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ เสริมสร้างความเชื่อมโยง และซัพพลายเชนในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในนามรัฐบาลไทยให้ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลมุ่งมั่นจะยกระดับเศรษฐกิจ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าขยายการเจรจาเอฟทีเอกับประเทศต่างๆทั่วโลก และเร่งปรับปรุงบริการภาครัฐให้การประกอบธุรกิจสะดวกมากยิ่งขึ้น วันนี้ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับการลงทุนจากทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากญี่ปุ่น เป็นรายใหญ่รายสำคัญของไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ไทยพร้อมสนับสนุนการลงทุนจากญี่ปุ่นทั้งรายเดิมและรายใหม่ พร้อมร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นยกระดับอุตสาหกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ตอบสนองต่อความ เปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อความก้าวหน้าของทั้งสองประเทศต่อไป
รมต.ยุ่นยาหอมยกไทยฮับรถยนต์
ด้านนายไซโตกล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า ญี่ปุ่น กับไทย เป็นพันธมิตรสำคัญร่วมสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรม มาตลอด มีอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก บนพื้นฐาน ความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานกว่า 50 ปี แห่งมิตรภาพญี่ปุ่นอาเซียน ความร่วมมือที่ผ่านมาได้สะสม และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด เพื่อสร้างอนาคตร่วมกันในอีก 50 ปีข้างหน้า จะมุ่งเน้น 3 ประเด็น คือ การสร้างอุตสาหกรรมในอนาคตความ มั่นคงด้านพลังงานและลดคาร์บอนไปพร้อมกับการ พัฒนาด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนาบุคคลที่เป็นพื้นฐานความร่วมมือเพื่อสร้างอนาคต ในส่วนของ อุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้ผลิตญี่ปุ่นได้เข้ามาไทยในช่วงปี 1960 ตั้งแต่นั้นมา 60 ปี มีการสร้างงานร่วมกัน ในอุตสาหกรรมนี้อย่างมั่นคง วันนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีการลงทุนของสหรัฐฯ และจีน เพิ่มมากขึ้น การแข่งขันระดับโลกทวีความรุนแรงญี่ปุ่น ต้องการให้อาเซียนโดยเฉพาะไทยที่ถูกขนานนามว่า “ดีทรอยต์อาเซียน” ที่แข็งแกร่ง เป็นที่สร้างยานยนต์ ยุคต่อไปเพื่อแข่งขันในระดับโลก นอกเหนือจากรถยนต์ ไฟฟ้าแล้ว ยังมีรถยนต์ไฮโดรเจนและเอทานอล เราต้องพัฒนาเรื่องเหล่านี้ และต้องจับตาดูการเปลี่ยน แปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกและพัฒนายานยนต์ เชิงกลยุทธ์ และอยากทำงานให้ครอบคลุมกับประเทศไทย โดยร่วมมือกับนายเศรษฐา และรัฐบาลไทยสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของสองประเทศ และเร่งสร้างศูนย์การผลิตและการส่งออกรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก ในยุคต่อไป ไม่ใช่แค่รถยนต์แต่ยังจะทำงานแข็งขัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์การลงทุนทั้ง 2 ประเทศด้วย
ถก “มิตซุย กรุ๊ป” ลุยพลังงานสะอาด
ต่อมา เวลา 10.10 น. ที่โรงแรมอิมพีเรียล โตเกียว นายเศรษฐาได้พบหารือกับผู้บริหารบริษัท Mitsui& Co.,Ltd. บริษัท Trading รายใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น มีรูปแบบธุรกิจมุ่งเน้นการพัฒนา 6 สาขา และแบ่งการบริหารงาน เป็น 7 สาขา รูปแบบ ธุรกิจมุ่งเน้นการเติบโตผ่านการค้า การบริหารธุรกิจและการพัฒนาโครงการจากประสบ การณ์ในสาขาต่างๆ ร่วมกับเครือข่ายทั่วโลก ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงโอกาส ร่วมมือทางธุรกิจด้านพลังงานสะอาด เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมของประเทศไทยในอนาคต และเป็นแนวทาง ที่สอดคล้องกับเป้าหมายลดคาร์บอน Decarboni sation ในการคมนาคมขนส่งของรัฐบาล ทั้งนี้นายกฯได้เชิญชวนบริษัท Mitsui ให้มาเปิดสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคในไทย
ปลื้มค่ายรถยุ่นจ่อลงทุนเพิ่ม 8.2 หมื่นล้าน
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ ถึงภาพรวมการเยือนญี่ปุ่นวันแรกว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าได้เจอนายไซโต เค็น รมว.เศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น จากนั้นร่วมสัมมนากับบีโอไอ มีนักลงทุนญี่ปุ่นร่วมรับฟังราว 500 คน ได้แจ้งถึงแนวทางเศรษฐกิจของไทยว่า เราจะทำอะไรบ้าง ก่อนพบกับบริษัทมิตซุยกรุ๊ป ได้พูดถึงการสำรวจและขุดเจาะแหล่งก๊าซธรรมชาติ ความเป็นไปได้ในการใช้น้ำมันพืชใช้แล้ว มาทำเป็นน้ำมันเครื่องบิน ก่อนจะพูดคุยกับ 7 บริษัทยานยนต์ของญี่ปุ่น อาทิ บริษัทฮอนด้าที่มีแผนลงทุนในไทย 5 หมื่นล้าน ในอีก 5 ปี บอกไปว่าไม่ต้องห่วงการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงาน สันดาปในรถยนต์ไปเป็นอีวี เราให้ความสำคัญ ก่อนคุยกับบริษัทนิสสัน มิตซูบิชิ ซูซูกิ และได้หารือกับบริษัท อีซูซุ ที่พร้อมลงทุนอีกประมาณ 32,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากนั้นหารือกับมาสด้า บริษัทที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งรถไปขายประเทศต่างๆ บริษัทสุดท้ายที่เจอคือโตโยต้า ประธานบริษัทมาพูดคุยเอง เขามีรถขายดีคือโตโยต้าไฮลักซ์ ภายในปี 2025 จะเริ่มผลิตเป็นรถอีวีแม้ช้าไปนิด แต่ผลิตเพียง 5,000 คัน จึงถามทำไมผลิตน้อยจัง สิ่งที่เขา เป็นห่วงคือสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ยืนยันไปว่าเราขยายเครือข่ายตรงนี้ไปมาก ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน เขาจะกลับไปพิจารณาเร่งผลิตรถกระบะอีวีให้เร็วขึ้น อีกส่วนของโตโยต้าทำเรื่องไฟแนนซ์รถยนต์สอดคล้องกับการแก้หนี้ในระบบ หากเขาช่วยเราได้ส่วนนี้ ไม่ว่า จะบีบดอกเบี้ยหรือปรับเบี้ยปรับ ต้องรบกวนด้วย
มั่นใจสิ่งที่พูดไว้ 4 ปีเสร็จหมด
นายกฯกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ได้พูดคุยในวันนี้ คือการเร่งให้แต่ละบริษัทลงทุนอีวีให้เร็วขึ้น เพราะบริษัทเหล่านี้อยู่ในไทยมา 50-60 ปี มีความเป็นไทย มองตาก็รู้ใจ อีกอย่างคือพูดคุยถึงการใช้พลังงานสะอาดที่จะเป็นหัวข้อหลักในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น วันที่ 17 ธ.ค. พอใจมากกับการหารือกับนักธุรกิจญี่ปุ่นตลอดทั้งวัน เพราะญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่สำคัญของเรา พูดจากันด้วยท่าทีที่ดี เป็นมิตร ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง แต่เราพยายามให้เขาเร่งการลงทุนเข้ามาเพราะโลกเปลี่ยนไปมาก บีโอไอได้เตรียมข้อมูลไว้ก่อนอย่างดีมาก เมื่อถามว่ามีการประเมินหรือไม่ว่าโอกาสในการหารือจะสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ในรัฐบาลชุดนี้ นายกฯกล่าวว่า ถ้ารัฐบาลตน 4 ปีทุกโครงการก็สำเร็จ เพราะเขาจะเข้ามาเร็ว บางอันจะเข้ามาปีหน้าแล้ว ขณะนี้บางเรื่องเริ่มการลงทุนแล้ว แต่อาจมีเรื่องรถยนต์ไฮโดรเจน ไม่แน่ใจว่าใช้ระยะเวลานานแค่ไหน แต่เรื่องอื่นกำลังดำเนินการอยู่
สวนกลับ “พิธา” ทำงานชัดจับต้องได้
นายเศรษฐายังกล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ไม่ประเมินผลงาน 90 วันรัฐบาล เพราะไม่มีโรดแม็ปที่ชัดเจนว่า คิดว่าที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจน ทั้งลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟ ค่าน้ำมัน พักหนี้เกษตรกร การท่องเที่ยว ตนทำทันที ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้เดินทางไปประชุมระดับโลก รวมถึงพบผู้นำอาเซียนไปมาเกือบหมดแล้ว อะไรที่ค้างคาใจได้คุยกัน ดิจิทัลวอลเล็ตส่งเรื่องไปยังสำนักงานกฤษฎีกาแล้ว เอฟทีเอเดินหน้าต่อเนื่อง มั่นใจว่าหลายเรื่องเราชัดเจน กฎหมายเราขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.อากาศ สะอาด พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม แม้จะมีการบิดคำพูดว่าจะไม่เข้าวันที่ 12 ธ.ค. แต่ความหมายคือการเปิดสภาฯสมัยปัจจุบัน ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์คงเข้า “หากในสายตาท่าน อาจจะช้า ก็แค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น” แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเรามีโรดแม็ปที่ชัดเจนและคณะรัฐมนตรี รวมถึงคณะทำงานในที่นี้ ตั้งใจยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น ตนพร้อมรับฟัง อะไรเป็นประโยชน์ อะไรที่ยังไม่ได้ทำ หรือเป็นที่ไม่พอใจของฝ่ายค้าน เรารับฟัง เพราะฝ่ายค้านคือตัวแทนประชาชน อะไรที่เป็นประโยชน์แล้วทำได้ หรืออะไรที่ยังไม่ได้ทำจะทำให้
ไม่เหนื่อยหน้าที่ รบ.แบกความหวัง ปชช.
เมื่อถามว่าประเมินการทำงานของรัฐบาลช่วง 3 เดือนนี้อย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า เราทำงานตลอด ให้ประชาชนตัดสินดีกว่า เมื่อถามว่าเหนื่อยหรือไม่ ที่คนออกมาติติงการทำงาน นายเศรษฐา บอกว่า ไม่ เป็นหน้าที่รัฐบาล แบกความหวังประชาชนไว้เกือบ 70 ล้านคนเป็นธรรมดา เพราะช่วงที่ประชาชนลำบากเป็นหน้าที่ของตนในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ต้องชี้แจง ส่วนที่นายพิธาระบุว่า หากรัฐบาลชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่ชัดเจน จะยื่นอภิปรายรัฐบาลแบบไม่ลงมตินั้น เป็นหน้าที่และสิทธิของ สส. ทุกคน ในการตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายบริหารก็ทำหน้าที่ให้กระจ่างในทุกข้อสงสัย ก่อนยืนยันเรื่องนี้เราให้ความสำคัญ
เดินผ่อนคลายย่านกินซ่า
กระทั่งเวลา 17.00 น. ภายหลังร่วมประชุมหารือกับภาคเอกชนตั้งแต่เช้า นายเศรษฐาได้เดินจากโรงแรมอิมพีเรียลโตเกียว เพื่อผ่อนคลายกับทีมงานในย่านกินซ่า ระหว่างเดินนายเศรษฐาเปิดเผยว่า เป็นคนชอบเดินเล่นทุกที่ ยิ่งอุณหภูมิประมาณ 10 องศา เดินแล้วรู้สึกสบาย เพราะนั่งอยู่ในห้องทั้งวัน การเดินชมเมืองหากมีอะไรนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาในประเทศไทยได้จะพยายาม เพราะอยากให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้เหมือนกัน และตั้งแต่รับตำแหน่งยังไม่ได้เดินทางมาประเทศญี่ปุ่นเลย ช่วงที่หารือกับประธานบริษัทโตโยต้า ได้พูดด้วยท่าทีตลก ให้ข้อแนะการผลิตรถตู้รุ่นอัลพาร์ดที่ได้รับความนิยมในไทย ช่วยเร่งผลิตให้หน่อยได้หรือไม่ เพราะความต้องการในไทยเยอะมาก แต่ต้องใช้เวลา 1-2 ปีรอรถ ประธานถึงกับหัวเราะ เพราะเราพูดเยินยอว่ารถยนต์รุ่นนี้ขายดีมากในไทย
แจงยื่นลาพักร้อน 19–22 ธ.ค.
นายเศรษฐายังกล่าวถึงการยื่นหนังสือลาพักผ่อน ตั้งแต่บ่ายวันที่ 19 ธ.ค.ถึงเที่ยงวันที่ 22 ธ.ค.ว่า หลายท่านจริงๆทราบว่าคุณแม่ของตนอายุ 96 ปี ท่านอายุมากแล้ว และลูกทั้ง 2 คนจะเดินทางกลับไทย ไม่ได้เจอกันมานานจะพาไปเที่ยวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร แค่ขอไปพักผ่อนบ้าง แต่ติดต่อตนได้ตลอด เพราะถึงแม้จะพักร้อนยังทำงานตลอด ไม่ต้องห่วง โลกสมัยนี้หากมีมือถือทำงานได้ตลอด 24 ชม.ไม่มีวันหยุด ถือเป็นภาระของผู้นำประเทศที่ต้องแบกไว้ เพียงอาจต้องมีบางช่วงต้องพักผ่อนบ้าง ขอให้สื่อมวลชนสบายใจ ไม่ได้หนีไปไหน หากมีประเด็นอะไรโทรศัพท์ติดต่อได้ ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง หลังมองว่าทำงานหนักมากช่วงนี้ แต่เป็นหน้าที่มีเวลานอน 6-7 ชั่วโมง ออกกำลังกายบ้างนิดหน่อย มีทีมงานที่ดี เมื่อถามว่านายกฯมียาดีอะไร ถึงร่างกายฟิตขนาดนี้ นายกฯหัวเราะพร้อมกล่าวว่า ไม่มี เมื่อเสนอตัวเข้ามาตรงนี้จึงต้องทำเต็มที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานเลขาธิการนายกฯ ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0502/ว(ร) 543 ลงวันที่ 12 ธ.ค.เรื่อง นายกฯลาพักผ่อนถึง ครม.ระบุว่านายกฯมีกำหนดการลาพักผ่อนระหว่างวันที่ 19 ธ.ค.เวลา 13.00 น.ถึงวันที่ 22 ธ.ค.เวลา 12.00 น. เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2555 ข้อ 41 ขณะที่เช้าวันที่ 19 ธ.ค.นายกฯเป็นประธานการประชุม ครม.ตามปกติ
บ่นเสียดายอดดูบอลแดงเดือด
นายเศรษฐายังกล่าวถึงฟุตบอลทีมโปรดลิเวอร์พูล ที่มีกำหนดการแข่งขันกับทีมคู่ปรับสำคัญอย่างสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในศึกแดงเดือด เวลา 01.30 น. (ตามเวลาญี่ปุ่น) ว่าเสียดายที่ติดตามไม่ได้ เพราะเวลาที่แข่งขันเป็นช่วงที่ดึกเกินไปก็คงไม่ไหว แต่ยังยืนยันคำตอบเดิมว่า “ลิเวอร์พูล” จะเปิดบ้านถล่มแมนยู 4-5 ลูก”
“พิธา” ชำแหละ 90 วันรัฐบาล “เศรษฐา”
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 11.00 น. ที่พรรค ก.ก. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก. แถลงข่าวเรื่อง “วาระ 90 วัน วิเคราะห์ผลงานรัฐบาลเศรษฐา” ว่า จะแถลงแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ภาพย่อย ภาพใหญ่ ภาพปีหน้า โดยภาพใหญ่ แบ่งเป็นคิดดีทำได้ มี อาทิ เรื่องช่วยแรงงานไทยในอิสราเอล จัดการหนี้นอกระบบ คิดไปทำไป อาทิ เงินดิจิทัลวอลเล็ต คิดสั้นไม่คิดยาว อาทิ ค่าไฟ ค่า พลังงาน ค่าคมนาคม รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย คิดใหญ่ทำเล็ก อาทิ ซอฟต์พาวเวอร์ ที่ดิน ส.ป.ก. และเรื่องค่าแรง คิดอย่างทำอย่าง อาทิ ร่างรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ ที่มา ส.ส.ร. ปฏิรูปกองทัพ ตรงข้ามสิ่งที่เคยคิดไว้
หวดแจกเงินหมื่นคิดไปทำไปไม่ตรงปก
นายพิธากล่าวต่อว่า ดิจิทัลวอลเล็ตใช้ภาษีเงินกู้กว่า 5 แสนล้านบาท ไม่ควรกระทบพื้นที่ทางการคลัง เทียบกับสิ่งที่ได้สัญญาก่อนการเลือกตั้ง จะแตกต่างอย่างชัดเจน คิดไปทำไป อาทิ เรื่องที่มาของงบฯ เรื่องเทคโนโลยี เป็นนโยบายที่ใช้งบฯสูงมาจากเงินกู้ เป็นเราและลูกหลานต้องมาใช้ในอนาคต ไม่ได้คิดอย่างตกผลึกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เราคาดหวังจากรัฐบาล แผน 2 กรณีที่เงินดิจิทัลหากทำไม่ได้ ควรมีแผน 2 ได้แล้ว ทั้งนี้ภาพต่อไปในปีหน้าของรัฐบาล โรดแม็ปที่ดีคือแผนที่ชัดเจน รัฐบาลผสมต้องเป็นเอกภาพมากกว่านี้
ขู่ฮึ่มชี้แจงงบฯไม่ดีเจอยื่นซักฟอก
นายพิธาให้สัมภาษณ์ตอบคำถามที่ว่า สถานการณ์ ทางการเมืองคิดว่าจะมีการหาทางลงจริงหรือไม่ มีสัญญาณเปลี่ยนนายกฯปีหน้าหรือไม่ว่า การหาทางลง ประเทศไม่ได้ต้องการในตอนนี้ แต่ปรับเปลี่ยนท่าที ทิศทางการทำงานอย่างมีเป้าหมาย เป็นมืออาชีพ จะทำให้โจทย์ร้อนในปีหน้าเบาบางลงได้ ส่วนตัวให้รัฐบาลสอบผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง ส่วนเรื่องการยื่นญัตติอภิปรายรัฐบาล คาดว่าสมัยประชุมไตรมาสที่ 1 หรือ 2 ขึ้นอยู่กับผลการชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ชี้แจงคำถามของฝ่ายค้านถ้าทำได้ไม่ดี คงยื่นอภิปรายมาตรา 151 อาจอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ขึ้นอยู่กับการทำงานของรัฐบาลต้นปีหน้า
สอนมวยนายกฯบริหาร ปท.ไม่ใช่เอกชน
เมื่อถามอีกว่า มีบางส่วนมองภาพนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง เหมือนไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง พูดอย่างหนึ่งแต่ข้าราชการทำอย่างหนึ่ง นายพิธาตอบว่า ยกตัวอย่างให้ชัดเจนคือการออกข้อสั่งการเรื่องค่าแรง เป็นการประชุมของคณะกรรมการไตรภาคี ได้เสนอนายกฯว่าไม่สามารถสั่งการลงไปแล้วทำให้เกิดขึ้น แตกต่างกันระหว่างบริหารราชการแผ่นดิน กับเอกชน เมื่อถามอีกว่าปีหน้าพรรค ก.ก.จะมีอุปสรรคมากขึ้นหรือไม่ ล่าสุดพรรค ปชป.เปลี่ยน กก.บห.และหัวหน้าพรรค อาจเปลี่ยนขั้วไปร่วมรัฐบาล พรรค ก.ก.จะเป็นฝ่ายค้านโดดเดี่ยว นายพิธากล่าวว่า ไม่ว่า ฝั่งไหน พรรค ก.ก.ก็เป็นพรรคอันดับ 1 ในไทย มี สส. มากสุดอยู่ดี เรามั่นใจในตัวเรา พรรค ก.ก.จะเป็นความหวังของประชาชน
มั่นใจยื่นหลักฐานใหม่คดีหุ้นไอทีวี
นายพิธายังกล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดเตรียมความพร้อมเพื่อไต่สวนใน 2 คดี ได้แก่ กรณีถือครองหุ้นสื่อไอทีวี และกรณีออกนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ ว่าเรื่องนี้จะไปประชุมต่อหลังจากแถลงข่าว เตรียมดูสุดท้ายเรื่องถ้อยคำแถลงลายลักษณ์อักษร พร้อมขึ้นเบิกคำให้การเป็นพยาน ทั้งหลักฐานส่วนตัว ทั้งเป็นผู้จัดการมรดกก็ดี หรือไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อ หมดไปแล้ว ไม่ว่ารายได้ ไลเซนส์ ที่ต้องขอจาก กสทช. ตรงนี้ กสทช.ตอบกลับมาชัดเจนว่า ไม่มีไลเซนส์ในการเป็นสื่อ พร้อมที่จะไปชี้แจงในศาลรัฐธรรมนูญสัปดาห์หน้า มั่นใจ 100% ถ้ามีการเทียบฎีกาในการวินิจฉัยในอดีตที่ผ่านมา ในเรื่องของการเป็นผู้จัดการมรดก รวมถึงมีหลักฐานที่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหน จะอธิบายต่อศาลด้วย เอกสารเสร็จเรียบร้อยทั้ง 2 เรื่อง จะยื่นกับศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ทั้งวันนัดไต่สวน 20 ธ.ค. และ 25 ธ.ค.
แฉ ก.ก.เล่นเกมสภาฯล่มเกียร์ว่างอื้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงกรณีเหตุการณ์สภาฯล่ม เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ระหว่างการลงมติพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จนต้องสั่งปิดประชุมโดยมีผู้ลงมติ 228 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ ถือเป็นสภาฯล่มประเดิมการเปิดประชุมสภาฯสมัยสามัญครั้งที่ 2 ปี 2566 จากการตรวจสอบฐานข้อมูลรายงานและบันทึกการประชุม สำนักงานเลขาธิการสภาฯที่เปิดเผยผลลงมติร่างข้อบังคับดังกล่าว ที่มีผู้ลงมติ 228 คน พบว่าในจำนวนนั้นมี สส.พรรคก้าวไกล ไม่ร่วมลงมติถึง 145 คน ลงมติแค่ 2 คน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในขั้นตอนการแสดงตนเป็นองค์ประชุมก่อนลงมติ ที่ห่างจากขั้นตอนลงมติแค่ 2 นาที ยังมี สส.พรรคก้าวไกลร่วมแสดงตนอยู่ถึง 92 คน ส่วนพรรคเพื่อไทยมีผู้ลงมติ 104 คน ไม่ลงมติ 36 คน พรรคภูมิใจไทย มีผู้ลงมติ 62 คน ไม่ลงมติ 9 คน พรรคพลังประชารัฐ ลงมติ 26 คน ไม่ลงมติ 14 คน พรรครวมไทยสร้างชาติลงมติ 13 คน ไม่ลงมติ 23 คน และพรรคประชาธิปัตย์ ลงมติ 2 คน ไม่ลงมติ 23 คน
กกต.ฟัน สส.พท.หาเสียงเกินเวลา
วันเดียวกัน เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.สั่งดำเนินคดี อาญานายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย (พท.) ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา 70 และมาตรา 79 ประกอบมาตรา 156 (1) กรณีหาเสียงเลือกตั้งเกินเวลากว่าที่กฎหมายกำหนด กรณีผู้ร้องกล่าวหาว่า วันเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 เวลา 06.55 น.นายพัฒนา ผู้ถูกร้อง ใช้บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “พัฒนา สัพโส” เผยแพร่โพสต์ของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “พรรค เพื่อไทย” โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 13 พ.ค.66 และวิดีโอคลิปการปราศรัยของพรรค พท.ประมาณ 4 นาที 50 วินาที โดย กกต.เห็นว่าข้อกล่าวอ้างของนายพัฒนาที่ให้ถ้อยคำว่าอาจเกิดจากความพลั้งเผลอ และมิทราบว่ามีการเผยแพร่ได้อย่างไร เป็นการให้ถ้อยคำปฏิเสธที่ง่ายต่อการกล่าวอ้าง และไม่มีพยานหลักฐานที่สนับสนุนให้น่าเชื่อว่าการกระทำของนายพัฒนาเกิดจากความพลั้งเผลอ ข้อกล่าวอ้างไม่อาจรับฟังได้ มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“พัฒนา” เชื่อไม่โดนใบเหลือง-แดง
นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี กกต.สั่งดำเนินคดีกรณีหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เกินเวลาก่อนวันเลือกตั้งว่า เรื่องนี้ กกต.ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับใบเหลืองใบแดง แค่ดำเนินคดีอาญาฐานทำผิดกฎหมายโทษสูงสุดคือจำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท แต่จริงๆมีหลักฐานที่ควรจะยก เบื้องต้นปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ เพราะว่าไม่มีอะไร มั่นใจว่าไม่มีผลต่อสถานะการเป็น สส. เพราะไม่มีเจตนาทำผิด สิ่งที่โพสต์ไปไม่ใช่การหาเสียง โพสต์บอกชื่อหรือหมายเลขตัวเอง เป็นการโพสต์เกี่ยวกับพรรค เพราะมือมันไปโดน ไม่มีอะไร เรื่องนี้มีมติออกมา 2-3 เดือนแล้ว เพียงแค่เพิ่งมีการปล่อยออกมาวันนี้เท่านั้น ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ไม่มีผลกระทบต่อสถานะการเป็น สส.แน่ ขณะที่นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค พท.กล่าวว่า เชื่อว่าโทษจะไม่รุนแรงถึงขั้นต้องสั่งเลือกตั้งใหม่
“โรม” นำทีม กมธ.ความมั่นคงฯบุก ทบ.
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานคณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาฯ นำคณะเข้าหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านความมั่นคงกับกองทัพบก มี พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ.พร้อมคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้การต้อนรับ ก่อนเข้าหารือนายรังสิมันต์ เข้าถวายสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ที่ห้องพระบารมีปกเกล้า ชั้น 3 อาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ เยี่ยมชมอาคารพิพิธภัณฑ์ฯจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาวิวัฒนาการของกองทัพบกและวางพวงมาลา ณ กำแพงอนุสรณ์กองทัพบกที่จารึกรายนามกำลังพลที่สละชีพเพื่อชาติ จากนั้นเข้ารับฟังบรรยายสรุป หารือกันที่ห้องประชุมอาคารศรีสิทธิ สงคราม
ปลื้ม ทบ.ตั้งเป้าปี 71 เลิกทหารเกณฑ์
นายรังสิมันต์แถลงหลังหารือกับ ผบ.ทบ. ว่า บรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี กมธ.ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก วันนี้ทิศทางของ ทบ.ดีมากต้องชื่นชม โดย ผบ.ทบ.ยืนยันว่า ทบ.ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว ภายในปี 2571 ตั้งเป้าจะรับสมัครทหาร 100% ที่ปัจจุบันทำได้ 40% ปีหน้าตั้งเป้า 50-60% ถือเป็นสัญญาณบวก แสดงให้เห็นว่ามีการสมัครเข้ามาแล้วทหารเกณฑ์จะถูกใช้เฉพาะในยามสงคราม กมธ.ได้เสนอแนะเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต อาจต้องพิจารณากฎหมายต่างๆให้มั่นใจว่านโยบายนี้จะถูกใช้ต่อ นอกจากนี้ยังหารือกันถึงปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดน ทั้งภาคใต้และฝั่งเมียนมา อย่างปัญหาคนไทยถูกหลอกไปเชิงค้ามนุษย์ในเมืองเล้าก์ก่าย ขณะนี้ช่วยมาได้เกินกว่า 500 คนแล้ว กมธ.ฝากให้ดูพื้นที่อื่นๆใกล้กับแม่สอด จ.ตาก ในกรณีเดียวกันด้วย เราได้ฟังข้อมูลจากกองทัพคิดว่าเป็นประโยชน์ ขอขอบคุณ ทหารทุกท่าน แม้เวลาพูดคุยอาจจะสั้นแต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
“เสี่ยหนู” สั่ง มท.ส่งต่อของขวัญให้เด็กๆ
วันเดียวกัน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เป็นเทศกาลที่ประชาชนทั่วไปต่างมอบของขวัญเพื่อแสดงออกถึงความปรารถนาดีต่อกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย มีนโยบายไม่รับของขวัญหรือของกำนัลทุกประเภทในทุกเทศกาลที่เป็นการส่วนตัว เพื่อเป็นแบบอย่างมาตรฐานทางจริยธรรม ลดโอกาสหรือเปิดช่องให้ทุจริตคอร์รัปชัน แต่ในกรณีที่มีผู้มามอบของให้หน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย รมว.มหาดไทยมีความยินดีที่จะเป็นสื่อกลางส่งต่อกระจายของขวัญหรือสิ่งของที่ได้รับไปยังผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลต่อไป โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขอเชิญชวนให้ทุกส่วนราชการที่ได้รับสิ่งของต่างๆในช่วงเทศกาลปีใหม่ ดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน เป็นสื่อกลางนำสิ่งของที่ได้รับจากเทศกาลสำคัญๆส่งมอบให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด อปท.หรือส่งมอบแก่ผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ เพื่อสร้างความสุข รอยยิ้ม และความรู้สึกดีๆต่อกัน
“บัวแก้ว” จัดโปรบริการกงสุลพิเศษสุด
นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศจัดเตรียมของขวัญปีใหม่ บริการด้านกงสุล ได้แก่ 1.ทำพาสปอร์ตทันใจ ทำเช้าได้บ่ายจ่ายในอัตราปกติระหว่างวันที่ 2-12 ม.ค.2567 (ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์) พาสปอร์ตบุคคลธรรมดาจำกัด 100 คนต่อวัน ทั้งกรณีของผู้ที่จองคิวผ่านระบบออนไลน์และผู้เดินทางมาด้วยตัวเอง (วอล์กอิน) ต้องยื่นคำร้องก่อนเวลา 11.30 น. ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ หรือสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวทุกแห่ง แต่ต้องรอรับเล่มภายในวันเดียวกันที่กรมการกงสุลเท่านั้น 2.ทำพาสปอร์ตเสาร์-อาทิตย์ตลอดทั้งปี 2567 3.บริการแปลเอกสารภาษาอังกฤษฟรีตั้งแต่วันที่ 2-12 ม.ค.2567 (ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์) 4.บริการรถทะเบียนเคลื่อนที่ (แบงค็อก โมบายเซอร์วิส) ร่วมกับ กทม.ทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ คัดสำเนา เอกสาร (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ได้แก่ ทะเบียนบ้าน สูติบัตร และมรณบัตร ตั้งแต่วันที่ 15-26 ม.ค.2567 (ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์) ที่ลานจอดรถกรมการ กงสุล สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2572-8442
ลงทะเบียนแก้หนี้พุ่ง 5.7 พันล้านบาท
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า การลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ณ เวลา 15.30 น.วันที่ 15 ธ.ค.มีมูลหนี้รวม 5,704.415 ล้านบาท ประชาชนลงทะเบียนแล้ว 96,783 ราย ผ่านระบบออนไลน์ 85,820 ราย และการลงทะเบียน ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขหนี้นอกระบบ 10,963 ราย รวมเจ้าหนี้ 67,635 ราย จังหวัดที่ลงทะเบียนมากที่สุด 5 ลำดับแรก 1.กทม. 6,122 ราย เจ้าหนี้ 5,033 ราย มูลหนี้ 485.281 ล้านบาท 2.จ.นครศรีธรรมราช 4,165 ราย เจ้าหนี้ 3,308 ราย 250.055 ล้านบาท 3.จ.สงขลา 3,861 ราย เจ้าหนี้ 2,702 ราย 240.432 ล้านบาท 4.จ.นครราชสีมา 3,751 ราย เจ้าหนี้ 2,336 ราย 274.405 ล้านบาท 5.จ.ขอนแก่น 2,512 ราย เจ้าหนี้ 1,956 ราย 179.602 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดที่ลงทะเบียนน้อยที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1.จ.แม่ฮ่องสอน 130 ราย เจ้าหนี้ 83 ราย 5.284 ล้านบาท 2.จ.ระนอง 196 ราย เจ้าหนี้ 126 ราย 14.042 ล้านบาท 3.จ.สมุทรสงคราม 258 ราย เจ้าหนี้ 177 ราย 8.32 ล้านบาท 4.จ.ตราด 330 ราย เจ้าหนี้ 197 ราย 10.237ล้านบาท และ 5.จ.มุกดาหาร 355 ราย เจ้าหนี้ 243 ราย 20.902 ล้านบาท
ประกาศขยายเวลาเปิด-ปิดผับถึงตี 4
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิด-ปิดสถานบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีสาระสำคัญขยายเวลาให้สถานบริการใน 5 จังหวัด ได้แก่ กทม.จ.ภูเก็ต จ.ชลบุรี จ.เชียงใหม่ และ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี รวมถึงสถานบริการที่ตั้งที่อยู่ในโรงแรมตามกฎหมายจะเริ่มมีผลบังคับทันทีตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.2566 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เฉพาะในคืนส่งท้ายปีเก่าวันที่ 31 ธ.ค.ตามกฎกระทรวงฉบับนี้จะขยายเวลาให้ทุกท้องที่ทั่วประเทศสามารถเปิดบริการไปจนถึงเวลา 06.00 น. ของวันปีใหม่ 1 ม.ค.ได้ ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย กำชับหน่วยงานของกระทรวงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลสถานบริการให้เป็นไปตามกฎหมาย อาทิ ต้องไม่มีการละเลยเรื่องยาเสพติด พกอาวุธ ตรวจสอบป้องกันไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าสถานบริการ ตลอดจนวางแนวทางกวดขันไม่ให้เมาแล้วขับ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่