ผมไม่เคยเลือกที่จะเป็น แต่ผมเลือกที่จะทำ ทำดีที่สุดในสิ่งที่เป็น!! นี่คือคาถานำชีวิต “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” นักการเมืองผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นยุคประชาธิปไตยเต็มใบ หรือครึ่งใบ เขามักได้รับเทียบเชิญให้ร่วมรัฐบาลเสมอ เพราะพกตำราการเมืองสืบทอดจาก “น้าชาติ–พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 จึงถือคติรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ชีวิตนี้มีแต่พวกและเพื่อน ไม่มีศัตรูการเมือง
“ตลอดเวลาที่ทำงานการเมืองกับ “พล.อ.ชาติชาย” ผมได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ท่านสอนผมทั้งจากคำพูดและการกระทำ น้าชาติเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเป็นผู้นำ ในการประชุมพรรค ท่านจะเปิดกว้างให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น รับฟังด้วยท่าทีที่นุ่มนวล และเมื่อถึงเวลาท่านจะตัดสินใจ ทุกครั้งที่ตัดสินใจท่านจะแสดงความรับผิดชอบ อย่างตอนที่พรรคชาติพัฒนาเข้าร่วมรัฐบาลกับนายกฯชวน จนเป็นที่มาของประโยค “เสียบเพื่อชาติ” น้าชาติสั่งทุกคนห้ามให้สัมภาษณ์ และเดินลงไปให้สัมภาษณ์สื่อคนเดียว ผมเรียนรู้เรื่องผู้นำจากน้าชาติ ผู้นำที่ดีต้องกล้าตัดสินใจ และกล้ารับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง น้าชาติยังเป็นคนที่มีสปิริตสูงส่งมาก เป็นตัวอย่างที่ดีของคนมีน้ำใจนักกีฬา คือรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เมื่อแพ้ ท่านพร้อมแสดงความยินดีกับผู้ชนะเหมือนที่โทร.ไปหานายกฯชวน เมื่อคะแนนเสียงสนับสนุนน้อยกว่า แต่เมื่อชนะ ท่านก็ให้ความเห็นอกเห็นใจผู้แพ้ จบเกมเป็นจบเกม ท่านสอนผมเสมอเรื่องการเมืองจบเป็นจบ อย่าเคืองแค้นต่อกัน ให้ถือเรื่องส่วนรวมเป็นหลัก ซึ่งเป็นสปิริตที่หาได้ยากในการเมืองไทยยุคนี้”
...
ได้ยินว่า “คุณสุวัจน์” ไม่เคยคิดฝันอยากเล่นการเมือง
หลังเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์โยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมไปเรียนต่อปริญญาโทด้านวิศวกรรมขนส่ง ที่มหาวิทยาลัยเปอร์ดู สหรัฐ อเมริกา กลับมาช่วยธุรกิจที่บ้านปี 2522 เป็นผู้จัดการโครงการของบริษัทประยูรวิศว์การช่าง ลุยสร้างถนน 15 สาย ในเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมา เป็นโครงการที่คุณพ่อ (วิศว์ ลิปตพัลลภ) ทำให้ชาวโคราชโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายสักบาทเดียว ท่านไม่ลืมว่าเคยยากจนมาก่อน เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เรามีพร้อม เราควรจะคืนกลับให้สังคมบ้าง ท่านเชื่อว่าชีวิตเราถ้ารู้จักการให้ เราจะไม่มีวันตกอับแน่นอน จากจุดนั้นทำให้ชื่อเสียงของประยูรวิศว์การช่างเป็นที่รู้จักของคนโคราช และพ่อได้สนิทกับ “พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก” ตอนไปช่วยสร้างอนุสาวรีย์กล้ากลางสมร เมื่อ “พล.อ.อาทิตย์” ชวนพ่อให้ร่วมก่อตั้งพรรคปวงชนชาวไทย และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.โคราช คุณพ่อรับปากทันที แต่ทุกคนในบ้านคัดค้าน เพราะเห็นว่าพ่ออายุมากแล้ว ท่านยืนกรานว่าต้องช่วยเพื่อน ถ้าไม่ให้พ่อลงสมัคร ลูกคนหนึ่งต้องลงสมัครแทน เพราะรับปาก “พล.อ.อาทิตย์” ไว้แล้ว ทุกคนลงมติว่าเป็นผม เพราะผมสนใจการเมือง จบปริญญาโทจากต่างประเทศ และเป็นเขยโคราช เมื่อ “พล.อ.อาทิตย์” โทร. มาชวน ท่านบอกว่าลงผู้แทนฯเถอะ คุณไม่ต้องห่วง ผมรับราชการอยู่ในอีสานมานาน ตอนเหตุการณ์ไม่สงบ 1-3 เมษายน 2524 ผมนำทัพชาวโคราชปราบกบฏ อยู่กับชาวโคราช 3 วัน 3 คืน ไม่ได้หลับได้นอน คนโคราชไม่ลืมผม พ่อคุณก็ทำประโยชน์ให้ชาวโคราชเยอะ เป็นคนที่คนโคราชรัก พอถามว่าต้องเจอใครครับ ก็อึ้งไปเลย ผมจะเอาอะไรไปสู้ “พล.อ.ชาติชาย” ได้ “พล.อ.อาทิตย์” ปลอบใจว่า คุณแพ้ คุณก็ไม่มีอะไรสูญเสีย แต่ถ้าชนะล่ะ จะโด่งดังทันที
ใช้กลยุทธ์อะไรคว้าชัยชนะตั้งแต่เลือกตั้งครั้งแรก
ผมเหมือนทหารไม่เคยรบแล้วเดินเข้าสมรภูมิ แต่จะทำอะไรก็ต้องทำเต็มที่ จะลงสนามทั้งทีก็ต้องไม่ใช่ลงไปเพื่อแพ้ แม้มีโอกาสเล็กน้อย ผมก็สู้เต็มกำลัง ผมรู้ว่าจุดอ่อนสำคัญคือไม่รู้จักการเมืองเรื่องเลือกตั้งเลย ฉะนั้นต้องหาคนเก่งๆมาช่วย ผมไปหาพี่ประสาร มฤคพิทักษ์ บอกพี่มีอาสาสมัครช่วยเลือกตั้งหรือครับ ผมจะลงสมัคร สส.โคราช เขต 1 เขาถามว่าแข่งกับใคร พอบอกชื่อน้าชาติ พี่ประสารไล่ให้กลับไป เพราะไม่มีทางสู้ได้ วันรุ่งขึ้นผมไปอีกครั้ง คราวนี้เจอพี่ธีรยุทธ บุญมี จึงสารภาพว่าแพ้ก็แพ้ แต่ผมต้องลง เพราะพ่อผมรับปาก “พล.อ.อาทิตย์” ไว้ ช่วยผมได้ไหม พี่ธีรยุทธบอกจะช่วย เพราะคุณมันสู้ คุณมันท้าทายดี ชะตาชีวิตของผมเริ่มพลิกผันตั้งแต่วินาทีนั้น ทีมพี่ธีรยุทธและพี่ประสารช่วยผมได้มาก เราวางแผนเลือกตั้งด้วยการทำโพลก่อนเลยว่าคนโคราชต้องการอะไรจาก สส. พบว่าคนโคราชเบื่อ สส.ที่เจอตัวเฉพาะหาเสียง ไม่เคยพัฒนาโคราช และต้องการถนน ผมเดินสายบอกกล่าวในสิ่งที่คนโคราชต้องการ โคราชอยากมีถนน 4 เลน อยากมีมหาวิทยาลัย ถนนลาดยาง ผมเสนอตัวมารับใช้พี่น้อง พี่ประสารเขียนสคริปต์ให้พูด จำได้ว่าครั้งแรกที่ขึ้นพูดยืนขาสั่น ต้องเอาโพยมาอ่าน ตอนหาเสียงเจอใครผมยกมือไหว้หมด ตอนนั้นพี่ธีรยุทธทำโพลสุ่มคะแนนเสียงไปด้วย ครั้งแรกผลออกมาผมได้ที่หนึ่ง จนเขาสงสัยว่าโพลน่าจะผิด แต่ผมแอบมีความหวังในใจ เพราะทุกครั้งที่เดินแจกบัตรแนะนำตัว มีแต่คนพูดว่า “อาทิตย์” เราเอาอยู่แล้ว หรือ สุวัจน์ลูกคุณวิศว์ คนนี้ช่วยโคราชเยอะ หรือลูกเขยคุณระเบียบไม่มีปัญหา เมื่อทำโพลสำรวจซ้ำ ผมทิ้งห่างคู่แข่งทุกคนกระจุย คราวนี้พี่ธีรยุทธมั่นใจ 100% คุณเข้าที่หนึ่งแน่นอน แต่ที่ทำให้ผมมั่นใจสุดคือวันที่ “พล.อ.อาทิตย์” เปิดปราศรัยใหญ่ 1 วัน ก่อนลงคะแนน มีคนมาฟัง 40,000 คน ผมพูด 20 นาที แต่หัวหน้าพรรคปราศรัยยาวเหยียด กระแสตอบรับดีมาก พูดจบท่านตบไหล่ผม บอกว่า สุวัจน์ คุณเป็น สส.แล้ว ผลเลือกตั้งผมมาที่หนึ่งจริงๆ ได้คะแนน 98,000 คะแนน ขณะที่ “พล.อ.ชาติชาย” ได้ที่สอง 60,000 คะแนน วันนั้นผมพิสูจน์แล้วว่าถ้าเราทุ่มเท สิ่งที่เหมือนฝัน อย่าคิดว่าไม่มีวันเป็นจริง
หลังจบศึกเลือกตั้ง เจอ “น้าชาติ” สอนมวยไหม
แม้จะชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ผมก็อดเสียใจไม่ได้ที่ต้องแข่งกับ “พล.อ.ชาติชาย” นักการเมืองคนแรกที่รู้จักและสร้างภาพลักษณ์นักการเมืองที่งดงามในใจผม ผมเจอน้าชาติครั้งแรกตอนเป็นนิสิตปี 3 และได้ติดตาม อ.ช่วง พิทักษ์จำนงค์ ไปดูโครงการเหมืองโปแตชที่โคราช ตามคำชวนของน้าชาติ รมว.อุตสาหกรรมขณะนั้น เมื่อต้องพบน้าชาติที่สภาผู้แทนราษฎร ผมรีบตรงเข้าไปกราบทันที ท่านบอกสุวัจน์เราพวกเดียวกันนะ เราต้องช่วยกันพัฒนาโคราช ตรงนี้เป็นบุคลิกประจำตัวท่าน เปี่ยมด้วยจิตใจนักกีฬา เกมจบคือจบ ไม่ค้างคาใจ
ซึ้งใจ “น้าชาติ” ตรงไหนที่สุด
น้าชาติเป็นคนหัวใจหนุ่มตลอดกาล และถ้ามีโอกาสจะเลือกคนรุ่นใหม่ร่วมงานเสมอ เส้นทางชีวิตของผมกับน้าชาติ เหมือนถูกชะตาลิขิต ตอนนั้นพรรคชาติไทยของน้าชาติเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล โดยน้าชาติเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคปวงชนชาวไทยเป็นฝ่ายค้าน ทุกครั้งที่ไปร่วมงานสำคัญที่โคราช ผมพยายามหลบอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อน้าชาติเห็นผม ท่านจะเรียกไปนั่งด้วยเสมอ และบอกว่าเราเป็น สส.โคราชเหมือนกัน ต่อมาเมื่อมีการปรับ ครม. และชวนพรรคปวงชนชาวไทยร่วมรัฐบาล น้าชาติระบุว่า ผมจะปรับ ครม. แต่เอาสุวัจน์เป็นรัฐมนตรีนะ ตอนนั้นผมอายุไม่ถึง 35 ปี ได้เป็น รมช.คมนาคม หลังได้รับโปรดเกล้าฯ ผมรีบบึ่งไปกราบน้าชาติที่บ้านราชครู ยังจำคำพูดท่านได้ “บ้านเมืองมันเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้มันต้องคนหนุ่ม เลือกตั้งแล้วจบ ผมไม่เคยคิดว่าคุณอยู่คนละพรรค เป็นคู่แข่งกับผม เราต้องคิดถึงประเทศชาติ”
เปลี่ยนจากคู่แข่ง มาเป็นขุนพลคู่ใจของ “น้าชาติ” ได้อย่างไร
ผมเป็นรัฐมนตรีสมัยแรกได้แค่ 4 เดือน น้าชาติก็ลาออกเพื่อปรับ ครม. และได้รับเลือกเป็นนายกฯอีกครั้ง แต่สถานการณ์การเมืองเข้าขั้นวิกฤติ ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองทัพรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งคณะ รสช.ภายใต้การนำของ “พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์” ก่อรัฐประหาร เมื่อปี 2534 ยึดอำนาจจาก “พล.อ.ชาติชาย” และจับกุมน้าชาติส่งตัวไปอยู่อังกฤษ เพราะเข้าใจผิดว่าน้าชาติแต่งตั้ง “พล.อ.อาทิตย์” เป็น รมช.กลาโหม เพื่อไปโยกย้ายทหาร ต่อมาเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ และคุณอานันท์ ปันยารชุน ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรีแทน เพื่อจัดการให้มีการเลือกตั้งใหม่ บ้านเมืองแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย จนวันหนึ่งน้าชาติชวนผม พี่กร ทัพพะรังสี และพี่เพชร (ร.ต.อ.สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์) ไปพบที่บ้านราชครู บอกสุวัจน์เรามาตั้งพรรคการเมืองใหม่ด้วยกันเถอะ ผมถามแล้วชื่อพรรคล่ะครับ น้าชาติค่อยๆพลิกกระดาษเป็นลายมือคุ้นเคยเขียนว่า “ชาติพัฒนา” น้าชาติแจงว่า ตอนแรกผมคิดจะไม่เล่นการเมืองแล้วตั้งแต่ถูกปฏิวัติ แต่เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็เลยคิดว่าจะตั้งพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่เป็นของคนรุ่นใหม่ ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ต้องการคนมาช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่ทรุดโทรม และความแตกแยกในบ้านเมือง ตั้งแต่วันนั้น “พรรคชาติพัฒนา” ก็ถือกำเนิดขึ้นในฐานะ “พรรคทางเลือกใหม่” ที่ไม่ใช่พรรคเทพ หรือพรรคมาร แต่เป็น “พรรคมนุษย์”
ถึงวันนี้อะไรคือภารกิจท้าทายของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”
ชีวิตทางการเมืองของผม ทั้ง “พล.อ.อาทิตย์” และ “พล.อ.ชาติชาย” เป็นผู้หล่อหลอมมา คนหนึ่งสร้าง อีกคนช่วยส่งเสริม ผมจำคำสั่งเสียสุดท้ายของน้าชาติได้ดี ท่านดึงมือผมแล้วบอกว่า “ขอบคุณมากนะสุวัจน์ คุณเป็นคนที่ทำอะไรให้ผมมาโดยตลอด สนับสนุนและช่วยเหลือผมในทุกตำแหน่งหน้าที่ได้ดีที่สุด ขอบคุณมากจริงๆ ผมอยากให้กร (“กร ทัพพะรังสี” มีศักดิ์เป็นหลานน้าชาติ) เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาคนต่อไป คุณต้องอยู่ช่วยกรนะ” ผมตอบรับสั้นๆว่า ครับ โดยไม่นึกว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับท่านชาติชาย ตลอดเวลาที่ทำงานการเมือง สิ่งหนึ่งที่ท่านสอนเสมอคือ จะต้องเป็นนักการเมืองที่มีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น ถ้าพวกเรากันเองยังไม่รักษาสัญญา แล้วเราจะมีหน้าไปสัญญาอะไรกับประชาชนได้ ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน สัจจะคือเรื่องสำคัญที่สุด ภารกิจของผมคือ การรักษาอุดมการณ์ของพรรคชาติพัฒนาไว้ ตามที่ให้สัจจะกับน้าชาติ ไม่ว่าชื่อพรรคจะเปลี่ยนไปก็ตาม.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่