นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ชี้ เงินเฟ้อไทยติดลบ แสดงถึงคนไทยขาดกำลังซื้อ เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แนะ การกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็น ก่อนเศรษฐกิจไทยทรุดหนัก 

วันที่ 15 พ.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมืองพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น่าเป็นห่วงว่าเงินเฟ้อของไทยในเดือนตุลาคมติดลบที่ -0.31% เป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 25 เดือน หลังจากที่เงินเฟ้อของไทยขยายตัวต่ำมา 5 เดือนติดต่อกันก่อนหน้านี้ เริ่มจากเงินเฟ้อใน พฤษภาคม 0.53% มิถุนายน 0.23% กรกฎาคม 0.35% สิงหาคม 0.88% กันยายน 0.30% ทั้งที่ช่วงเวลาดังกล่าวราคาน้ำมันสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อกลับต่ำ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่เงินเฟ้อไทยจะติดลบต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมคาดกันว่าจะติดลบที่ -0.35% และ -0.42% ตามลำดับ ในขณะที่เงินเฟ้อในโลกยังสูงมาก เช่น ในสหรัฐฯ เงินเฟ้อยังสูงที่ 3.7% ยุโรปยังอยู่ที่ 4.3% เป็นต้น

การที่เงินเฟ้อต่ำจนมาติดลบและน่าจะติดลบต่อเนื่องนี้ เป็นสัญญาณอันตรายว่าคนไทยขาดกำลังซื้อ เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) และอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ประเทศที่กำลังประสบปัญหาเหมือนไทย คือ ประเทศจีน ที่มีเงินเฟ้อติดลบเช่นกัน โดยในเดือนตุลาคม เงินเฟ้อของประเทศจีนติดลบที่ -0.20% แต่เงินเฟ้อจีนมีการติดลบก่อนหน้านี้ด้วย สาเหตุมาจากกำลังซื้อของคนจีนลดลงจากปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีปริมาณล้นเกินมาก ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีนแทบทุกบริษัทมีปัญหาขนาดหนัก เกิดหนี้เสียในระบบเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนจีนลดลงมาก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศจีน และทำให้นักท่องเที่ยวจีนจึงมาเที่ยวไทยน้อยกว่าที่คาดกันมาก และการส่งออกของไทยไปจีนก็ลดลงเช่นกัน

...

ดังนั้น จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรากฏ และเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ต่ำกว่าคาดการณ์มาก ซึ่งน่าจะขยายได้ไม่ถึง 2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายได้ 3.5% และปรับลดมาเหลือ 2.7% แต่คงจะไม่ถึง ประกอบด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่สหรัฐฯ อาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีก เศรษฐกิจยุโรปที่ยังทรุด เศรษฐกิจจีนที่ยังย่ำแย่ อีกทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซำ้เติมด้วยสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่มีแนวโน้มที่จะขยายวงกว้างขึ้น ยิ่งทำให้ประเทศไทยต้องหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นกำลังซื้อของประชาชน ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นในทางเศรษฐศาสตร์จะแก้ไขได้ยากมาก ขนาดประเทศญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีที่สุดในรอบ 20 ปี ยังอัดฉีดเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเลย

ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันคิดและหาทางแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ก่อนเศรษฐกิจไทยจะทรุดหนัก โดยใน 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยได้ปีละ 1.9% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพมาก หากเป็นเช่นนี้ประเทศไทยจะพัฒนาได้ช้ามากและจะล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ มาก ประชาชนจะยิ่งลำบากกันมากขึ้น.