"นายกฯ" มอบ 40 รางวัล สุดยอดผู้ประกอบการส่งออก PM’s Export Award 2023 ประกาศความพร้อมนโยบาย "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้" ดันธุรกิจไทยเติบโต เร่งเสริมแกร่งด้วย Soft Power ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ดันภาคส่งออกก้าวสู่ทศวรรษใหม่ปีที่ 31 เติบโตด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66 วันนี้ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่นประจำปี 2566 หรือ "Prime Minister’s Export Award 2023"ครั้งที่ 31 เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจส่งออกสินค้าและบริการดีเด่นภายใต้ชื่อทางการค้าของตนเอง มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ของตนเอง นำนวัตกรรมมาประยุกต์ในการดำเนินธุรกิจ และดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด BCG Economy Model สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และเป็นเครื่องมือรับรองด้านการดำเนินธุรกิจ การสร้างมาตรฐานสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ

พร้อมระบุว่า ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจการค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ประเทศไทยต้องตื่นตัวในการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกมิติ รวมถึงภาคการส่งออกที่สร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกนับเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้สามารถแข่งขับได้ภายใต้บริบทโลกยุคใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา รัฐบาลเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออก เน้นการสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยใช้ “การทูตเชิงรุก” สร้างเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศด้วยการเจรจา ได้รับความร่วมมือจากภาคการค้าเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างตลาดใหม่ และรักษาตลาดเดิม รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน โดยการพัฒนาสินค้าด้วยการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ สร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทย และสินค้าในภาค จากนโยบาย "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้" สร้างการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มโดยใช้นวัตกรรม รวมทั้งสร้างผู้ประกอบการยุคใหม่ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน มีอัตลักษณ์ที่ชันเจนในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

...

นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายในการส่งเสริม "Soft Power" เพื่อเฟ้นหาและยกระดับคนไทยให้มีแรงงานที่มีทักษะขั้นสูงและเปิดตลาดใหม่ใน 11 ภาคอุตสาหกรรม โดยมุ่งสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality มุ่งใช้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้ประการธุรกิจส่งออกมีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว เปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อพัฒนาสินค้า และบริการ ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของโลก

รางวัล PM’s Export Award ประจำปีนี้ นับเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุด และเป็นรางวัลเชิดชูผู้ประกอบการไทยที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อพัฒนาสินค้า และบริการให้มีคุณภาพในมาตรฐานในทุกมิติ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งด้านการประกอบธุรกิจนวัตกรรม แบรนด์ การส่งออก การออกแบบ และคุณภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ จึงเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการภาคส่งออกของไทย จะสามารถต่อยอดและประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ทางรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญทูตพาณิชย์ และเอกอัครราชทูตจากทั่วโลกมาประชุมใหญ่ เพื่อมอบนโยบายที่จะช่วยผู้ส่งออกได้เปิดตลาดที่ดีขึ้น รวดเร็ว และสะดวกมากขึ้น โดยมีทูตพาณิชย์เป็นผู้นำในการนำรายได้เข้าประเทศเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจส่งออก เพื่อการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น PM’s Export Award กระทรวงฯ ได้จัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2535 มีผู้ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น จำนวน 798 รางวัล จาก 257 บริษัท และในทศวรรษใหม่กับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 31 ภายใต้แนวคิด "Better Vision Brighter Future : เปิดมุมมองใหม่ ขับเคลื่อนธุรกิจไทยมุ่งสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคต อย่างเต็มภาคภูมิ"

โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (Environmental, Social and Governance: ESG) ทั้งนี้ การคัดสรรผู้ประกอบการภาคส่งออกในปี 2566 มีผู้สมัครเข้ารับรางวัลทั้งหมดจำนวน 162 ราย มีผู้ประกอบการผ่านการพิจารณาคัดเลือกและตัดสินให้เข้ารับรางวัลรวมจำนวน 40 รางวัล 37 บริษัท ใน 7 สาขา ประกอบด้วย
1. รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter) โดยมีผู้ประกอบการผ่านการพิจารณาคัดเลือกและได้เข้ารับรางวัล จำนวน 6 รางวัล
2. รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม (Best Thai Brand) โดยมีผู้ประกอบการผ่านการพิจารณาคัดเลือกและได้เข้ารับรางวัล จำนวน 10 รางวัล
3. รางวัลธุรกิจ BCG ส่งออกยอดเยี่ยม (Best BCG Exporter) ซึ่งเป็นการปรับจากรางวัลสินค้าส่งเสริมนวัตกรรมยอดเยี่ยม (Best Innovation) เพื่อให้สอดคล้องกับวาระแห่งชาติในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ Bio Circular-Green Economy Model หรือ BCG โดยมีผู้ประกอบการผ่านการพิจารณาคัดเลือกและได้เข้ารับรางวัล จำนวน 7 รางวัล
4. รางวัลออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) โดยมีผู้ประกอบการผ่านการพิจารณาคัดเลือกและได้เข้ารับรางวัล จำนวน 7 รางวัล


5. รางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม (Best Service Enterprise) ประกอบด้วย สาขาโรงพยาบาล/ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง/คลินิกเฉพาะทาง (Health & Wellness) สาขาดิจิทัลคอนเทนต์และซอฟต์แวร์ (Digital Content & Software) และสาขาธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (Printing and Packaging) รวมจำนวน 4 รางวัล
6. รางวัลสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม (Best OTOP) จำนวน 1 รางวัล และ OTOP New Face Exporter จำนวน 1 รางวัล รวมจำนวน 2 รางวัล
7. รางวัลสินค้าฮาลาลยอดเยี่ยม (Best Halal) มีผู้ประกอบการที่ผ่านการพิจารณาและได้เข้ารับรางวัลรวม 4 รางวัล

และจากข้อมูลการส่งออกของผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลในปีนี้ มีส่วนในการสร้างรายได้เข้าประเทศในปี 2565 คิดเป็นมูลค่า 14,567.65 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.79 จากปีก่อนหน้า และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม - กันยายน) ได้สร้างรายได้ให้แก่ประเทศแล้วประมาณ 12,257.24 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยในการสนับสนุนการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7,654 ราย เป็นเครื่องการันตีแล้วว่า Prime Minister's Export Award นี้ เป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ ความภาคภูมิใจของภาครัฐและภาคเอกชนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนธุรกิจส่งออกของไทยให้เติบโต และเข้มแข็งบนเวทีการค้าโลก