"สภาผู้บริโภค" ยัน กสทช. ต้องยุติการควบรวมอินเทอร์เน็ต AIS-3BB ชี้ ทำให้ราคาแพงขึ้น 9.5% - 22.9% ลั่น หาก กสทช. ยังปฏิเสธอำนาจตนเองในการยับยั้งการควบรวมครั้งนี้ ขอให้ “กสทช.” ลาออกและยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที 

 
วันที่ 9 พ.ย. 66 จากกรณี ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤษ์ ได้จัดแถลงข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ อ้างว่า ไม่มีอำนาจในการอนุญาตให้ควบรวมบริการอินเทอร์เน็ต ระหว่างบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN กับบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB นั้น 

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ สภาผู้บริโภค  เห็นว่า เป็นการชี้นำ แสดงความไม่เป็นกลางของประธาน กสทช. ในกรณีดังกล่าว เสมือนหนึ่งว่า การพิจารณานี้ ประธานเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการตัดสิน มิใช่องค์คณะกรรมการ กสทช. ซึ่งมีกรรมการทั้งสิ้น 7 คน (รวมประธาน) ทั้งนี้การแสดงทีท่าดังกล่าวของประธาน กสทช. มีความขัดแย้งกับหลายภาคส่วน อาทิ ความเห็นของนักวิชาการด้านกฎหมาย นักการเมือง นักวิชาการจากสถาบันทีดีอาร์ไอ และองค์กรของผู้บริโภค ที่ต่างก็มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การพิจารณาเรื่องการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือการควบรวม และบริษัทที่แสดงความจำนงที่จะควบรวมเป็นอำนาจของคณะกรรมการ กสทช. ทั้งคณะ มิใช่อำนาจของประธาน กสทช. เพียงคนเดียวแต่อย่างใด 

“เป็นที่ชัดเจนว่า หากประธาน กสทช. ลุแก่อำนาจและพิจารณาว่า กรรมการ กสทช. ทั้งคณะ ไม่มีอำนาจอนุญาต ทำได้เพียงแค่รับทราบ จะเป็นการกระทำที่ซ้ำรอยจนสร้างความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคเป็นครั้งที่สอง หลังจากครั้งแรกได้มีการรวบรัดสรุปมติ รับทราบ ให้ควบรวมค่ายมือถือยักษ์สองค่าย คือ ทรู และ ดีแทค เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา แต่ภายหลังได้ปรากฏผลความเสียหายต่อผู้บริโภคอย่างเป็นที่ประจักษ์”

...

นางสาวสารี กล่าวอีกว่า การแสดงออกของประธาน กสทช.ที่เป็นการชี้นำ และไม่เป็นกลางเท่ากับเป็นการเปิดทางให้เกิดการผูกขาดมากขึ้นในกิจการโทรคมนาคม สร้างการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างยากที่จะแก้ไขได้ หาก กสทช. ปฏิเสธการทำหน้าที่กำกับกิจการโทรคมนาคม สภาผู้บริโภคจะขอเรียกร้องให้ท่านยุติการทำหน้าที่ และลาออกจากตำแหน่งโดนทันที

นอกจากนี้ การศึกษาของ 101 Policy Research ร่วมกับสภาผู้บริโภค พบว่า ผลกระทบต่อผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวมระหว่าง AIS และ 3BB อย่างกว้างขวาง เช่น

(1) จะกระทบต่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบ้านแตกต่างกันตามพื้นที่ ผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้นระหว่าง 9.5% - 22.9% ในพื้นที่ที่ทั้งสองรายแข่งขันทับซ้อนกันและมีคู่แข่งน้อย

(2) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีแนวโน้มพ่วงบริการอินเทอร์เน็ตบ้านกับโทรศัพท์มือถือมากขึ้น ซึ่งจะเหลือค่ายโทรศัพท์มือถือ 2 ค่ายใหญ่ที่มีศักยภาพ คู่แข่งรายอื่นตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านจะแข่งขันได้น้อยลง ในอนาคตตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านอาจเหลือผู้เล่นหลัก 2 รายตามค่ายโทรศัพท์มือถือ

(3) กสทช. ต้องกำกับให้ตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านและโทรศัพท์มือถือแข่งขันแยกกัน โดยมีบริการแยกเดี่ยวที่เป็นทางเลือกได้จริงสำหรับผู้บริโภค และส่งเสริมให้มีการแข่งขันในตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านในทุกพื้นที่
สภาผู้บริโภค จึงขอให้ กสทช. พิจารณาและใช้อำนาจของคณะกรรมการในการพิจารณาเรื่องนี้ โดยไม่อนุญาตให้ถือครองธุรกิจประเภทเดียวกันหรือไม่อนุญาตให้เกิดการควบรวมในครั้งนี้ 

ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วจากการควบรวมธุรกิจประเภทเดียวกันของบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค พบว่า บริษัทใหม่ที่เกิดหลังการควบรวม คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฉวยโอกาสเปลี่ยนแปลงแพ็กเกจให้ผู้บริโภคโดยไม่สมัครใจ ทำให้ราคาแพงขึ้นรายละ 100 บาท สร้างภาระให้ผู้บริโภคต้องร้องเรียนโดยไม่มีความจำเป็น มีการลดคุณภาพระบบอินเทอร์เน็ตลงจนเป็นปัญหาการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้แอปพลิเคชันไลน์ส่งข้อความและข้อมูล มีปัญหาการใช้งานด้านโทรศัพท์เกิดอาการติดๆ ดับๆ เป็นต้น

จนปรากฏผลว่า กสทช. ไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้ เงื่อนไขการควบรวมตามข้อตกลงที่กระทำไว้กับทั้งสองบริษัทได้ ตัวอย่างเช่น เรื่องอัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการ มีผลเสียต่อผู้บริโภคถึง 5 ประการ ได้แก่

1) การกำหนดเพดานราคาของอัตราค่าบริการเฉลี่ย ก. โดยลดอัตราค่าบริการเฉลี่ยลดลงร้อยละ 12 ภายใน 90 วันหลังจากมีการควบรวม ข. ให้มีทางเลือกของราคาที่แยกรายบริการเพื่อให้เป็นทางเลือก ค. ให้นำส่งข้อมูลต้นทุนและข้อมูลที่จำเป็นโดยให้มีหน่วยงานตรวจสอบ ง. ให้ผู้แจ้งการรวมธุรกิจประกาศให้ผู้ใช้บริการรับทราบ เพื่อมีการตรวจสอบและมีบทลงโทษกรณีทำไม่ได้ เช่น ปรับเป็นจำนวนร้อยละของรายได้ หรือปรับเป็นขั้นบันได และเพิกถอนใบอนุญาต

2) การกำหนดราคาค่าบริการ โดยใช้ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์ (Average Cost Pricing)

3) การคงทางเลือกของผู้บริโภค การกำหนดให้บริษัท ทรู มูฟ เอช คอมมิวนิเคชั่นจำกัด (TUC) และบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) ยังคงแบรนด์การให้บริการแยกจากกัน เป็นระยะเวลา 3 ปี            

4) สัญญาการให้บริการ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องคงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างบริษัทและผู้ใช้บริการ รวมถึงผลประโยชน์ที่ได้รับตามที่ได้มีการทำสัญญาหรือข้อตกลงไว้ตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เว้นแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาที่เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์และได้รับการยินยอมจากผู้ใช้บริการแล้ว 

และ 5) การประชาสัมพันธ์การให้บริการเพื่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการภายหลังการรวมธุรกิจ บริษัท TUC และบริษัท DTN จะต้องประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้ใช้บริการทราบถึงการคงไว้ซึ่งคุณภาพในการให้บริการและค่าบริการที่เป็นธรรม และจะต้องกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการหลังการรวมธุรกิจ โดยสำนักงาน กสทช. อาจกำหนดแนวทางและระยะเวลาการดำเนินการ รวมถึงเงื่อนไขในการปฏิบัติในเรื่องการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้บริษัท TUC และบริษัท DTN ดำเนินการต่อไป