ก่อนที่เครื่องจะรวนก็ต้องกระชับให้แน่น เพราะดูจากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนับแต่รัฐบาลชุดนี้เข้าบริหารประเทศ 2 เดือน 60 วันที่ผ่านมา

ชัดสุดก็คือ “เครื่องหลวม” ยังไม่เป็นเนื้อเดียวกัน

ทั้งตัวบุคคลระดับรัฐมนตรีที่ทำงานร่วมกัน รวมถึงทิศทางที่ในเรื่องนโยบาย ซึ่งต่างคนต่างทำมากกว่าที่จะประสานเป็นนโยบายของรัฐบาล

แต่กลับกลายเป็นนโยบายใครนโยบายมัน หรือพรรคใครพรรคมัน...ว่างั้นเถอะ

อย่าง “ดิจิทัลวอลเล็ต” สะท้อนภาพได้ดีที่สุด เพราะนโยบายประชานิยมของเพื่อไทย ที่ใช้ในการหาเสียงหวังชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ แต่เกิดปัญหาเนื่องจากมีเสียงคัดค้านในวงกว้างทำให้ไม่สามารถคลอดออกได้

ปรากฏ สส.ภูมิใจไทย 1-2 คน แม้จะเป็นเสียงเบาๆที่ไม่เห็นด้วย เพราะเพิ่งเริ่มต้นทำงานจึงเกรงอกเกรงใจกันอยู่

แต่ สส.พรรคร่วมรัฐบาลยกเว้น “เพื่อไทย” ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าไม่ใช่เรื่องของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย

ที่ส่งเสียงให้ได้ยินก็คือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติเท่านั้น

ที่ประกาศจุดยืนว่า เมื่อเป็นนโยบายของพรรคแกนนำก็ต้องให้การสนับสนุน หรือจะพูดว่าเป็นเรื่องของมารยาทที่เข้าใจอย่างนั้นได้

“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ต้องออกปากร้องขอให้ “เพื่อไทย” ช่วยกันสนับสนุนในการประชุมพรรคครั้งล่าสุด

นี่เป็นภาพสะท้อนที่เป็นจริงของรัฐบาล

ลึกลงไปมากกว่านั้น คือ ปัญหาขัดแย้งระหว่างกระทรวงอย่างเรื่องน้ำตาลทรายอุตสาหกรรม ไปทางพาณิชย์ไปทางเรื่องเดียวกัน แต่คนละพรรคที่รับผิดชอบ

...

หรือที่กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งมีการจัดการที่แปลกประหลาด นอกจากจะมีรัฐมนตรีที่มาจาก 3 พรรค คือ เพื่อไทย รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ โดย “ธรรมนัส พรหมเผ่า” จากพลังประชารัฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการ

แต่มีการตั้ง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯจาก “เพื่อไทย” รับผิดชอบกระทรวงนี้แทนที่จะเป็นรองนายกฯจากพลังประชารัฐ

นั่นเรื่องหนึ่ง...

แต่อีกเรื่องหนึ่งก็คือรัฐมนตรีว่าการฯทำตัวเป็น “เจ้ากระทรวง” จริงๆ คือรวบอำนาจเอาไว้ทั้งหมด แบ่งงานกรมเล็กๆ ให้รัฐมนตรีช่วย

เลยเกิดปัญหาเพราะรัฐมนตรีช่วยไม่มีอำนาจแม้แต่การโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการในกรมที่รับผิดชอบ โดยเจ้ากระทรวงบอกว่าเป็นอำนาจของว่าการฯ

ถึงตอนนี้ก็ยังนัวเนียไม่มีใครยอมใครและพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

อย่างหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ การที่นายกรัฐมนตรีนั้นเป็นคนที่ฉับไวรวดเร็วกว่าคนอื่นๆไม่ไวแค่กายภาพเท่านั้น

แต่ปากยังไวด้วย

หลายเรื่องหลายประเด็นที่แสดงความคิดเห็นออกไปโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบเสียก่อนจนทำให้เกิดปัญหาหรือการเปิดเผยบางเรื่องที่ไม่จำเป็น จนเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาก็มี

ก็น่าจะถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องพูดคุยทำงานความเข้าใจ โดยจัด “ดินเนอร์” กับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเป็นการเฉพาะ

เพราะนี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะสร้าง “เอกภาพ” ให้เกิดขึ้นได้!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม