“เศรษฐา” ผุดคณะกรรมการย่อย Ease of Doing Business in EEC “สุริยะ” นั่งประธาน บอก ลงพื้นที่สางปัญหาคาราคาซัง อุปสรรคนักลงทุน ก่อนบินเอเปกเชื้อเชิญนักลงทุนได้เต็มปากว่าพื้นที่อีอีซีไทยน่าลงทุน 

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE2) ตำบลเขาคันทรง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ว่า ตั้งแต่เช้า 08.30 น. นั่งรถไฟจากหัวลำโพงมาที่แหลมฉบัง ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นการดีที่มีหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงานเข้ามา ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เลขาธิการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยมีการพูดถึงปัญหา และจุดประสงค์ใหญ่วันนี้มาดูเรื่องอีอีซี เพราะถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งมีการดำริว่าจะทำกันมานานแล้ว และจะทำต่อไป

นายเศรษฐา กล่าวต่อไปว่า แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาเป็นปัญหาที่เราต้องการแก้ไข ปัญหาเยอะ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่มาก จึงทำให้เกิดการล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานสะอาด ระบบราง ท่าเรือ สนามบิน หลายเรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยการแก้ไขแบบบูรณาการจริงๆ ยืนยันว่าหลักการของอีอีซีเป็นหลักการที่ดีมาก และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสุดในการที่จะตอบสนองนโยบายของรัฐบาลนี้ได้ว่า รัฐบาลไทยเปิดแล้วสำหรับการให้ต่างชาติมาลงทุน อย่างตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เราต้องดูปัญหาในเชิงลึกจริงๆ ว่าแต่ละคนมีปัญหาอย่างไร เพื่อที่จะแก้ไขในแต่ละเรื่อง

...

ที่มาวันนี้เป็นปัญหาเรื่องน้ำในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความต้องการน้ำอย่างมาก คำถามแรกเขาถามว่าเรามีน้ำเพียงพอหรือไม่ แหล่งน้ำมีพอหรือไม่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กับกรมชลประทาน ต้องพยายามตอบสนองความต้องการของนักลงทุนให้ได้ สื่อมวลชนทราบอยู่แล้ว มีเรื่องของบริษัทวงษ์สยาม และบริษัทอีสท์วอเตอร์ ถือเป็นปัญหาที่คาราคาซังมานานมาก วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่เลขาธิการอีอีซีได้มาพูดคุย และก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจากับทั้งสองฝ่ายจนกระทั่งบรรลุข้อตกลงที่จะสามารถทำงานร่วมกันได้ ปัญหาเหล่านี้จะทำให้เรื่องที่ต่างชาติมีความกังวลใจที่ว่าจะไม่ได้ถูกแก้ไข แต่ก็ได้ถูกแก้ไขแล้ว จะเห็นได้จากรูปที่มีการจับมือกันเพื่อที่จะทำงานร่วมกัน และจะสามารถขจัดปัญหาเรื่องน้ำออกไป

สำหรับปัญหารถไฟที่เชื่อม 3 สนามบิน เวลานี้ที่มีการดีเลย์เกิดขึ้น นายเศรษฐา เผยว่า เรื่องนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รับไปเจรจากับฝ่ายเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ ส่วนท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ปัจจุบันปริมาณสินค้าที่เข้าออกในประเทศไทยเราเป็นท่าเรือที่ใหญ่ในลำดับที่ 19 ของโลก แต่ปริมาณสินค้าที่จะมีการเข้าและออกมีความต้องการสูงมาก ฉะนั้น ความจำเป็นที่ต้องสร้างเฟส 3 ขึ้นมามีเยอะ ซึ่งได้ดำเนินงานไปแล้ว จะสามารถทำให้เรายกระดับเป็นท่าเรือใหญ่ 1 ใน 15 ของโลกได้ แต่เมื่อมาดูพบว่ามีความล่าช้าเกิดขึ้น ทางผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก็ยอมรับว่ามีความล่าช้า ตนจึงได้สั่งการเรื่องนี้ 

“เรายอมรับไม่ได้หากผู้รับเหมามีปัญหา ก็ต้องเรียกมาพูดคุย หรือต้องมีการเปลี่ยน เรื่องการถมทะเลก็ช้า จะเอาเรื่องของโควิด-19 มาอ้างก็ไม่ได้ เพราะปัจจุบันนี้ความต้องการของต่างชาติที่จะมาสร้างโรงงานผลิตรถไฟฟ้าในประเทศไทยสูงมาก เขาต้องการความมั่นใจว่าเราจะมีท่าเรือที่เพียงพอในการส่งออกรถไฟฟ้าเหล่านี้ หากท่าเรือเฟส 3 สร้างมาไม่ทัน ปริมาณรถที่จะออกมาก็เยอะมาก ฉะนั้นการขนถ่ายก็จะมีความลำบากขึ้น จึงได้สั่งการไปแล้ว ทาง ผอ.การท่าเรือฯ ก็ยอมรับว่ามีการดีเลย์จริง แต่จะมีการก่อสร้างให้ทันเวลาได้ภายในกลางปีหน้า ซึ่งอีก 2 เดือน จะมาดูความคืบหน้าอีกทีหนึ่ง”

สำหรับเรื่องของพลังงานสะอาด ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เอกชนมีความต้องการพลังงานสะอาดหากจะลงทุนที่ไทย ขณะที่เอกชนไทยก็มีความประสงค์ที่จะพัฒนาเรื่องพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกับภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาสายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตด้วย ซึ่งต้องมีการเจรจากันต่อไป จะเห็นว่ามีปัญหาข้อปลีกย่อยเยอะ คณะที่มาเห็นร่วมกันว่าเรามีคณะทำงานของอีอีซีอยู่แล้ว แต่อันนี้จะเป็นคณะทำงานย่อย ซึ่งตนมอบหมายให้ นายสุริยะ เป็นประธาน โดยใช้ชื่อว่าคณะกรรมการ ease of doing business in EEC ให้ง่ายขึ้น ทะลุทะลวงปัญหา เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เพื่อให้คณะเล็กมีไม่ถึง 10 คน สามารถบริหารจัดการแก้ไขปัญหาไปได้อย่างรวดเร็ว 

“การที่เราลงมาพื้นที่อีอีซี เป็นการบ่งบอกว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญและต้องให้ความมั่นใจอย่างสูงสุดกับนักลงทุน ที่เวลารัฐบาลเดินทางไปต่างประเทศจะได้พูดอย่างเต็มปากว่าพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษนี้ทำงานได้จริง และสามารถเชื้อเชิญนักลงทุนได้อย่างตรงไปตรงมา ถูกต้อง และรวดเร็ว”

อย่างไรก็ตาม จากการรับฟังผู้บริหารและภาคเอกชนในวันนี้ พบว่าทุกคนไม่มีความเป็นห่วง ถ้าเราสามารถทะลุทะลวงปัญหาต่างๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมา ประเทศไทยจะเป็นแหล่งลงทุนแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกในการผลิตรถไฟฟ้า และอีกหลายๆ ธุรกิจซึ่งจะล้อกับการที่ตนเดินทางไปเอเปก (APEC) จะมีการพูดคุยความร่วมมือระหว่างหลายประเทศ และจะมีการพบปะเอกชนของสหรัฐอเมริกากว่า 30 ราย ซึ่งจะมีภาคเอกชนไทยเดินทางไปด้วย ตรงนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดี และการที่เดินทางมาวันนี้ทำให้เราเข้าใจถึงปัญหาและมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะไปพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติได้อย่างเต็มปาก โดยหวังว่าภายในเวลาไม่กี่เดือนนี้เราจะสามารถทำอะไรได้เยอะมาก.