นายกรัฐมนตรี ถกเครียด หน่วยงาน EEC เบรกกลางที่ประชุม ขอแต่เนื้อ และปัญหาที่ต้องแก้ บอกเดินทางพร้อมคณะประชุมได้งานมาก ขอสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ก่อนเตรียมเสนอ ครม. ตั้งคณะกรรมการย่อยดูพื้นที่ รับสายลูกชายโทรจากนิวยอร์ก บอกพ่อได้งานใหม่ เงินเดือนดี เลี้ยงพ่อได้
วันที่ 4 พ.ย. 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบนขบวนรถไฟ โดย นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ว่า แม้จะได้รับแรงผลักดันมาจากนโยบายวีซ่าฟรี แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยยังต่ำกว่าที่คาดการณ์อยู่ที่ 60-70% จากปี 2562 จึงยังต้องช่วยกันผลักดันอยู่
นอกจากนี้ยังได้ประสานกับ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เรื่องการปรับมาใช้เครื่องในการตรวจผู้โดยสารขาออก โดยตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.เป็นต้นไป จะใช้เครื่อง และกำลังคนผสมกัน โดยให้ความมั่นใจว่าเครื่องดังกล่าวสามารถดักจับได้ทั้งอาชญากร ผู้ที่พำนักอยู่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และผู้ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ถ้าหากตกลงกันจนได้ข้อสรุปภายในปีนี้ คาดว่าในเดือนกรกฎาคม 2567 จะติดตั้งอุปกรณ์เสร็จ และสามารถปรับมาใช้เครื่องตรวจผู้โดยสารขาออกแทนกำลังคนได้ทั้งหมด
ขณะเดียวกันยังรับรายงานการก่อสร้างท่าเทียบโดยระหว่างการรายงาน ของนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการท่าเรือแห่งประเทศไทย รายงานความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ถูกนายกรัฐมนตรีเบรกถึง 2 ครั้ง ซึ่งนายเศรษฐาขอให้ผู้กล่าวรายงานพูดว่าผมไม่ได้มาฟังเรื่องพวกนี้ ผมมาฟังปัญหา เอาแต่เนื้อๆ ดีกว่า ก่อนที่จะถามผู้รายงานจากการท่าเรือว่า ขอให้อธิบายถึงการท่าเทียบเรือเฟสที่ 3 ที่ขณะนี้พบว่ามีปัญหาความแออัด ว่าอยู่ตรงไหน เมื่อไหร่จะเสร็จ พร้อมขอให้เร่งรัดเรื่องแคชอัพแพลน เพื่อสร้างความไว้วางใจให้นักลงทุน โดยนายกรัฐมนตรีอยากให้การท่าเรือแถลงผลความคืบหน้าการสร้างท่าเทียบเรือแหลมฉบังในช่วงปลายสัปดาห์หน้า ว่าที่ผ่านมามีความล่าช้าเกิดขึ้น แต่ปัจจุบันมีแผนงานในเชิงบูรณาการว่าจะสามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนได้ ซึ่งหากสามารถขยายพื้นที่รองรับตู้สินค้าได้ 18 ล้านตู้ ก็จะสามารถทำให้ไทยอยู่ในลำดับที่ไม่เกิน 15 ของโลก
...
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีเดินมาพบปะกับสื่อมวลชนที่นั่งอยู่ที่ขบวนด้านหน้า โดยได้ถามสื่อมวลชนว่า สนุกหรือไม่ในการเดินทาง ซึ่งสื่อมวลชนได้ชวนให้นายกรัฐมนตรีดูขนมที่เจ้าหน้าที่นำมาให้บนขบวนรถไฟที่มีสตอรี่ ซึ่งเศรษฐากล่าวว่า ไหนอย่างไร ตนดูไม่ออก สื่อมวลชนจึงถามกลับว่า แล้วนายกรัฐมนตรีสนุกหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า การเดินทางมาอย่างนี้ดีมาก ได้นั่งกับหน่วยงานได้งานมาก
เมื่อถามว่า ประชาชนคาดหวังกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากภาคธุรกิจในเรื่องการแก้ไขปัญหาปากท้อง มีการวางเป้าไว้อย่างไรนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า มีหลายปัจจัย ผมก็กระตือรือร้นทุกวัน ลักษณะนิสัยของผมไม่ใช่คนอย่างนั้น มีปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามา มีปัจจัยหลายอย่าง อย่างเรื่อง EEC ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ แต่ใครที่จะมาสร้างโรงงานใหม่ๆ ก็ใช้เวลา ไม่ใช่แค่ 5 เดือน 6 เดือน แต่ใช้ระยะเวลาเป็นปี ซึ่งหากเรามีความชัดเจนในทุกๆ เรื่อง เขาก็จะมีกำลังใจขึ้นมา
โดยนายเศรษฐายังระบุอีกว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ EEC จะต้องสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ ทั้งการเชื่อมต่อระบบราง ระบบขนส่งทางน้ำ และทางอากาศ รวมถึงการจัดสรรพื้นที่การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีหลายองค์ประกอบกัน ก่อนที่จะเน้นย้ำว่า ต้องสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ และสามารถทำได้จริง ไม่ใช่สร้างวาทกรรมว่ามี EEC แต่ต้องทราบว่ามันติดปัญหาอะไรบ้าง นอกจากนี้หากมีการตั้งคณะกรรมการย่อยขึ้นมา ซึ่งต้องดูอีกครั้งว่าจะผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีหรือไม่ โดยจะมีหน้าที่ทลายอุปสรรคปัญหาต่างๆ
ทั้งนี้ระหว่างที่ นายเศรษฐา ยืนพูดคุยกับสื่อมวลชนบนขบวนรถไฟ มีโทรศัพท์โทร.เข้ามาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งลูกชายคนกลาง นายวรัตม์ ทวีสิน บุตรชาย โทรศัพท์มาจากนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา รับโทรศัพท์ พร้อมเปิดเผยด้วยรอยยิ้มว่า ต้องรับสายลูก โทร.มาจากนิวยอร์ก บอกว่าได้งานใหม่ เงินเดือนดีด้วย เลี้ยงตนได้
ขณะที่ ผู้สื่อข่าวบอกว่า เราก็ทำงานเก่าต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอกด้วยสีหน้ามีรอยยิ้มว่า แต่ชีวิตจะดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวบอกว่า นายกรัฐมนตรีมาจากอดีตนักธุรกิจ ประชาชนก็คาดหวังสูงในเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องจะดีขึ้น นายกรัฐมนตรีตั้งใจหรือไม่ว่า ภายในกี่เดือนประชาชนจะยิ้มอย่างมีความสุข นายกรัฐมนตรีบอกว่า ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ความตั้งใจของตนเองอยากให้ยิ้มทุกวัน อยากให้ยิ้มเร็วๆ ตนก็กระตือรือร้น มีความอยากจะทำ ตนไม่ได้มาอธิบายว่าทำไม่ได้ ลักษณะนิสัยของตนไม่ใช่คนแบบนั้น ตนก็อยากให้ทำได้ ทุกคนก็รู้ดี ไม่ได้อยู่ที่ตนอย่างเดียว มีปัญหาต่างๆ เข้ามา ปัจจัยภายนอกรุมเร้าเยอะ.