“เศรษฐา” หารือเครือเซ็นทรัลฯ เตรียมผุดโปรเจกต์ยักษ์กลางเดือนหน้า ยัน ใหญ่และครอบคลุมกว่า “ช้อปดีมีคืน” ย้ำ อะไรทำได้ทำก่อน และสิ้นเดือน พ.ย. แถลงข่าวใหญ่ แก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังผู้บริษัทเซ็นทรัลกรุ๊ปขอเข้าพบว่า เครือเซ็นทรัล เป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม มาให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร ขณะที่ตนได้แจงนโยบายท่องเที่ยวของรัฐบาลที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจว่ามีอะไรบ้าง การท่องเที่ยวไทยเป็นอย่างไร ก็รับฟังหลายเรื่อง รวมถึงมาตรการภาษี มาตรการการแข่งขันค้าปลีกที่ไม่เป็นธรรมตรงนี้ก็จะรับไปดำเนินการ 

“มีการพูดคุยกันว่าจะมีโปรเจกต์ใหญ่ ซึ่งประมาณกลางเดือนหน้าจะมีการประกาศได้ อย่างน้อยคุยกับรายใหญ่รายแรกไปก็ได้รับการตอบรับที่ดี ก็หวังว่าจะมีรายอื่นๆ เข้ามาทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชนได้ และหวังว่าจะมีข่าวดีที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองรอง”

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าเป็นมาตรการภาษีแบบช้อปดีมีคืนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่ใหญ่กว่านั้น และครอบคลุมเยอะกว่านั้น พร้อมย้ำด้วยว่า จากนี้จะมีมาตรการด้านการท่องเที่ยวออกมาเรื่อยๆ เพราะต้องยอมรับว่าบางส่วนก็ติดข้อกฎหมาย แต่ในส่วนที่ไม่ติดข้อกฎหมายก็เร่งดำเนินการเลย เพราะต้องการให้ทันในช่วงปีใหม่ 2567 นี้ อะไรที่ทำได้ก่อนเราก็ทำเลย

...

จ่อแถลงข่าวใหญ่แก้ไขปัญหาหนี้ประชาชน สิ้น พ.ย.นี้

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา เป็นประธานการประชุมการหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมหารือ ต่อมาภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีแถลงว่า สิ้นเดือนพฤศจิกายน จะมีการแถลงข่าวใหญ่วิธีการแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชน ที่เกี่ยวกับหนี้นอกระบบ 

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) ว่า ความรับผิดชอบในการจัดการเรื่องหนี้นอกระบบของสำนักงานตำรวจฯ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง เป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกฝ่ายต้องหาแนวทางแก้ไข เพราะเป็นปัญหาที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งตนตั้งใจให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะในบางครั้งมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยที่สูงเกินกฎหมาย และลูกหนี้ต้องรับภาระหนี้ที่เกินเงินต้นเป็นจำนวนมากเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหาแนวทางในการจัดการแก้ไขหนี้สินรายย่อยเชิงรุก เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินที่ต้นทางให้ประชาชน.