“รสนา” เผย สภาผู้บริโภค ห่วง “พีระพันธุ์” ลดภาษี ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ราคาน้ำมันอาจไม่ลด ถ้าไม่คุมค่าการตลาดน้ำมัน เสนอ 4 ข้อ เร่งปรับแก้โครงสร้างราคาที่ต้นทาง

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 จากกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงประเด็นการปรับลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลงให้ได้ 2.50 บาทต่อลิตร โดยระบุว่า การปรับลดราคาน้ำมันจะต้องได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังและกลุ่มสรรพสามิต แต่หลังจากได้ศึกษารายละเอียดกระทรวงการคลังแจ้งว่า ภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินหากจะปรับลดก็ต้องลดทั้งหมด แต่กระทรวงการคลัง ไม่สามารถลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินทุกประเภทได้ถึง 2.50 บาทต่อลิตร พร้อมเสนอให้ลดภาษีน้ำมันสรรพสามิตทุกชนิดลง 1 บาทต่อลิตร และเพื่อให้ลดราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลงให้ได้ 2.50 บาทต่อลิตร จะต้องบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเพิ่มอีก 1.50 บาทต่อลิตร ให้เป็น 2.50 บาทต่อลิตร ตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยจะให้มีผล ตั้งแต่ 7 พฤศจิกายน 2566-31 มกราคม 2567 เป็นระยะเวลา 3 เดือนนั้น

นางสาวรสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ให้ความเห็นว่า แนวทางการลดราคาน้ำมันเบนซินด้วยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน สภาผู้บริโภคเคยยื่นเสนอต่อ นายพีระพันธุ์ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยเสนอให้ลดฐานภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจาก 3.67 บาทต่อลิตร ให้เหลือไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร และลดฐานภาษีสรรพสามิตกลุ่มน้ำมันแก๊ซโซฮอล์ 95 จาก 5.85 บาทต่อลิตร ให้เหลือไม่เกิน 2.50 บาทต่อลิตร เพื่อให้ส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันดีเซลต่างกันไม่เกิน 5 บาทต่อลิตร

...

ทั้งนี้ การที่กระทรวงการคลังเสนอต่อ นายพีระพันธุ์ ในการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินทั้งกลุ่ม จึงเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับที่สภาผู้บริโภคเสนอ แต่การลดภาษีน้ำมันลงมาเพียง 1 บาท เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อรายได้การคลังของรัฐบาล แต่ทำให้ต้องหันมาใช้การบริหารเงินกองทุนน้ำมันเข้ามาประกอบด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยกระทรวงพลังงานยังไม่จัดการปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันที่ไม่เป็นธรรมไปด้วยกัน ยังปล่อยให้ราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศอิงราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ บวกค่าขนส่งทิพย์จากประเทศสิงคโปร์ ปล่อยให้ราคาเอทานอลที่ใช้ผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์มีราคาสูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินสำเร็จรูปมากกว่า 6 บาทต่อลิตร และที่สำคัญที่สุดคือ ยังไม่สามารถควบคุมค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซินได้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มน้ำมันเบนซินมีค่าการตลาดสูงร่วม 4 บาทต่อลิตร 

ดังนั้น เมื่อมีการปรับลดภาษีน้ำมันลงมา 1 บาทต่อลิตร และมีการลดการเก็บเงินกองทุนน้ำมันกับแก๊สโซฮอล์ 91 จาก 2.80 บาทต่อลิตรเหลือเก็บอยู่ที่ 1.30 บาทต่อลิตร หากไม่มีการคุมค่าการตลาดน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่มีการคุมเพดานราคาขายปลีกหน้าปั๊มเหมือนราคาน้ำมันดีเซล เงินส่วนต่างที่รัฐบาลลดได้จากภาษีและกองทุนน้ำมัน จะไหลไปลงที่ค่าการตลาดเป็นรายได้ของผู้ค้าน้ำมัน โดยเฉพาะผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 40 และจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันไม่ลดลงเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่ รมว.พลังงาน และประชาชนผู้ใช้น้ำมันคาดหวังก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคขอเสนอ 4 ข้อ ให้ รมว.พลังงาน เร่งดำเนินการปรับแก้ไขโครงสร้างราคาน้ำมันที่ต้นทางโดยเร็ว ดังนี้

1. ให้ยกเลิกการใช้ E85 เพราะราคาเอทานอลของประเทศไทยสูงกว่าราคาเอทานอลตลาดต่างประเทศ และสูงกว่าราคาเบนซินสำเร็จรูปเกินกว่า 6 บาทต่อลิตร จึงทำให้ E85 จากโรงกลั่นมีราคาสูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินทุกชนิด

2. ให้เร่งดำเนินการควบคุมค่าการตลาดน้ำมันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม หรือให้ควบคุมเพดานราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทั้ง 95 และ 91 เพื่อป้องกันไม่ให้เงินภาษีและกองทุนน้ำมันที่รัฐลดการจัดเก็บไหลไปอยู่ที่ค่าการตลาดน้ำมันจนสูงเกินควร ให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้น้ำมันและผู้ค้าน้ำมันรายย่อยไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้น้ำมันรายใหญ่

3. ให้ยกเลิกสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นอิงราคาสิงคโปร์ได้แต่ต้องไม่บวกค่าขนส่งทิพย์

4. ให้คุมเพดานราคาเอทานอลที่ใช้ผสมน้ำมันเบนซินต้องไม่สูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินสำเร็จรูป เพื่อไม่ให้ราคาแก๊สโซฮอล์ที่หน้าโรงกลั่นสูงเกินควร.