“กมธ.ปกครอง สภาฯ” จี้ มหาดไทยเร่งวางนโยบายปราบ “ผู้มีอิทธิพล” ชัดเจน เผย 10 จ.ไร้ผู้มีอิทธิพล 66 จังหวัด มีทั้ง 805 ราย จี้ เพิ่มช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแส ชม “ชาดา” มีสปิริต ไม่ยกเว้นคนใกล้ชิด

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 25 ต.ค. 2566 ที่รัฐสภา นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การปกครอง สภาฯ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกมธ.ว่า วันนี้กมธ. ได้เชิญนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทยพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน และปราบปรามผู้มีอิทธิพลมาให้ข้อมูล ต้องขอบคุณรมช.มท. ที่ให้เกียรติฝ่ายนิติบัญญัติมาชี้แจงข้อสงสัยต่างๆ ต่อ กมธ.โดยมีสาระสำคัญคือ 1.แนวนโยบายที่เราเห็นตรงกันว่า เราอยากเห็นสังคมที่มีความสงบเรียบร้อย ไม่ต้องการให้ผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจหน้าที่ หรือสถานะทางสังคมเอารัดเอาเปรียบรังแกพี่น้องประชาชน ซึ่งหลังสอบถามและรับแนวทางแล้ว และได้การตั้งคณะอนุกรรมาธิการ โดยมีนายชาดาเป็นประธาน ขณะที่ตัวแทนอธิบดีกรมการปกครองได้แจ้งว่า มีการส่งหนังสือให้ทุกจังหวัดคัดกรองผู้มีอิทธิพลทั่วทั้งประเทศตามที่กระทรวงมหาดไทยประกาศแจ้งแล้ว  

“เราได้รับคำชี้แจงว่า มี 10 จังหวัดที่เป็นสีเขียว ที่ไม่มีผู้อิทธิพล แต่ไม่ขอเปิดเผยต่อสื่อว่ามีจังหวัดอะไรบ้าง เพราะเป็นความลับทางราชการ และมีจังหวัดที่เป็นโซนสีเหลือง 66 จังหวัด 84 อำเภอ คือ มีบุคคลที่เข้าข่ายอยู่ในอยู่ในกลุ่มผู้มีอิทธิพล 805 รายชื่อ แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ 180 รายชื่อแรก เป็นผู้มีอิทธิพลที่อยู่ในกลุ่มสีแดง ซึ่งหมายความว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและมีพฤติการณ์ใช้อิทธิพลในพื้นที่ ส่วนอีก 625 คนเป็นผู้ที่เคยมีอิทธิพล แต่หยุดพฤติการณ์แล้ว และไม่ได้มีพฤติการณ์ในการใช้อำนาจกดขี่ ข่มเหง หรือรังแกพี่น้องประชาชนแล้ว ทั้งนี้ แม้จะหยุดพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว แต่เราก็ต้องเฝ้าติดตามดูพฤติกรรมในรายชื่อทั้งหมดอย่างใกล้ชิดต่อ ซึ่งคำจำกัดความของคำว่า “ผู้ที่มีอิทธิพล” ในความหมายของกระทรวงมหาดไทยคือ เป็นบุคคลที่กระทำ หรือสั่งการให้มีการละเมิด โดยใช้อำนาจ เงิน ตำแหน่งหน้าที่การงาน ฐานะทางสังคม หรือสิ่งอื่นใด ในการไปคุกคาม กดขี่ ข่มเหง หรือรังแก ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้งทางร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง รวมถึงทรัพย์สิน ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงว่า มีความผิดอยู่ทั้งหมด 16 มูลฐาน ที่มีความเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะกระทำความผิดตาม 16 มูลฐาน จะต้องเป็นผู้มีอิทธิพลทั้งหมด แต่ต้องมีสององค์ประกอบถึงจะเข้าข่ายผู้มีอิทธิพล” นายกรวีร์ กล่าว

...

ประธานกมธ.ปกครอง กล่าวต่อว่า 2 กมธ. จะติดตามว่า หลังจากได้รายชื่อแล้วว่า จะมีการดำเนินการอย่างไร โดยได้รับคำชี้แจงว่า เพราะรัฐมนตรีเพิ่งจะตั้งคณะทำงานมาได้ไม่นาน ยังอยู่ในขั้นตอนแรกคือ การคัดกรอง และจะมีการรวบรวมรายชื่อให้อยู่ในฐานข้อมูลอัปเดตต่อไปตามนโยบายของฝ่ายบริหารว่า จะมีแนวทางนโยบายจัดการกับผู้อิทธิพลอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมา ใช้วิธีการจับกุม รวมถึงได้มีการพูดคุยเพื่อให้ละเลิกพฤติกรรม โดย กมธ. ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมการปกครองว่า จะทำอย่างไรกับทั้ง 180 รายชื่อ เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนได้สบายใจ ที่สำคัญ กมธ.เน้นย้ำถึงการทำรายชื่อว่า ต้องมีความเป็นธรรม ไม่อยากเห็นการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองไปกลั่นแกล้ง โดยเฉพาะการกลั่นแกล้งทางการเมือง ส่วนการติดตามและประเมินผลภายหลังจากได้รายชื่อแล้ว คำถามสำคัญคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า การปราบปรามผู้มีอิทธิพลล้มเหลว หรือสำเร็จ หากมีการวัดผลและตัวชี้วัดที่ชัดเจน จะมีคำตอบที่ชัดเจนให้กับพี่น้องประชาชน และท้ายที่สุด กมธ.ขอให้มีการเปิดช่องทางสำหรับพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่ ให้มีช่องทางในการแจ้งเบาะแสว่า ที่ใดเป็นผู้ที่อาจเข้าข่ายกลุ่มผู้อิทธิพลบ้าง เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม และแจ้งให้หน่วยงานราชการรับทราบ ซึ่งกรมการปกครองระบุว่าให้ประชาชนแจ้งผ่านทางศูนย์ดำรงธรรมไปก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการสอบถามถึงกรณีของนายวีรชาติ รัศมี นายกเทศมนตรี ต.ตะลุกดู่ จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นลูกเขยของนายชาดา ในที่ประชุมหรือไม่ นายกรวีร์ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกันว่า ในกรณีนี้เข้าข่ายอยู่ในกลุ่มผู้มีอิทธิพลหรือไม่ ซึ่งกรมการปกครองได้ชี้แจงว่า คดีนี้มีการจับกุมเมื่อ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ต้องมีการไปต่อสู้ในชั้น และอาจจะมีความผิดจริง แต่เงื่อนไขที่สำคัญคือ การกระทำผิดกฎหมายเข้าข่ายในการใช้อำนาจหน้าที่คุกคามรังแกพี่น้องประชาชนหรือไม่ หากไม่มี ก็จะไม่อยู่ในฐานของผู้อิทธิพลตามความหมายของกระทรวงมหาดไทย

เมื่อถามย้ำว่า ได้มีการสอบถามนายชาดาหรือไม่ นายกรวีร์ กล่าวว่า ต้องชื่นชมสปิริตของนายชาดา เพราะตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นมิติใหม่ทางการเมือง พอเวลาที่หลายคนตั้งคำถามว่า นายชาดามาปราบปรามผู้มีอิทธิพลแล้วจะทำได้จริงหรือ วันนี้ตนคิดว่าพี่น้องทั้งประเทศคงจะได้คำตอบ เพราะแม้กระทั่งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิดกับรัฐมนตรีโดยตรง ก็ไม่ได้รับการละเว้น หรือได้รับดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งก็ได้มีการกำชับกับผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานทั้งหมดว่า ไม่ต้องเกรงใจ สามารถดำเนินการ และปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายทั้งหมดได้ เมื่อถามอีกว่า จะมีการบรรจุเรื่องนี้ เข้าสู่วาระที่ประชุม กมธ.ในสัปดาห์หน้าหรือไม่ นายกรวีร์ กล่าวว่า เนื่องจากเป็นช่วงปิดสมัยประชุม คงไม่ได้มีการประชุมกมธ. แต่เราได้ตั้งทีมงานเพื่อติดตาม เพื่อนำข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย แจ้งมาให้กมธ. อย่างต่อเนื่อง