อธิบดีกรมสารนิเทศ เผยคนไทยกลับประเทศแล้ว 926 คน จ่อเช่าเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่รับจากกรุงเทลอาวีฟ มาลงดูไบ ก่อนพากลับกรุงเทพฯ ยันคนที่ไม่ลงทะเบียน มาที่ศูนย์พักพิงได้ ถ้าอยากจะกลับบ้าน แจงเรื่องบินอ้อม เพราะไม่อยากเสียเวลาการขออนุมัติของแต่ละประเทศ
วันที่ 18 ตุลาคม 2566 เมื่อเวลา 15.10 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์คนไทยในอิสราเอล ว่า โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา มีเหตุการณ์โจมตีโรงพยาบาลในฉนวนกาซา ถือเป็นการผิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยราย และบาดเจ็บจำนวนมาก จึงขอแสดงความเสียใจอย่างใหญ่หลวง โดยทางกระทรวงการต่างประเทศจะออกแถลงท่าทีในเรื่องนี้อีกครั้ง
ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 30 ราย บาดเจ็บ 16 ราย ผู้ถูกจับเป็นตัวประกัน 17 ราย ส่วนการอพยพคนไทยกลับประเทศ ได้ดำเนินไปแล้ว 7 เที่ยวบิน จำนวน 926 คน จำนวนที่ลงทะเบียนไว้และมาจริงอาจต่างไปบ้าง เพราะอาจเปลี่ยนใจ หรือออกจากพื้นที่ไม่ได้ โดยขออย่าห่วง ทางสถานทูตจะติดตามทุกราย โดยทุกคนที่อยากกลับบ้านจะได้กลับบ้าน
ส่วนเครื่องบินของกองทัพอากาศ ได้ลำเลียงอาหาร น้ำ ยารักษาโรค ที่ได้รับความอนุเคราะห์จากภาคเอกชนด้วย โดยจะออกจากกรุงเทพฯ คืนนี้ในเวลา 22.00 น. และจะถึงไทยวันที่ 19 ตุลาคม ในเวลา 13.40 น. จำนวน 145 ราย และมีสายการบินอิสราเอลแอร์ไลน์อีก จำนวน 80 ราย ถึงไทยในวันที่ 19 ตุลาคม เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ เมื่อวานนี้มีผู้เดินทางมาพักที่ศูนย์พักพิงตามโรงแรมต่างๆ จำนวน 593 ราย เพื่อพร้อมที่จะเดินทางกลับบ้าน รวมถึงมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานนายจ้าง และรับแรงงานเดินทางกลับบ้าน พร้อมขอบคุณพี่น้องคนไทยในอิสราเอลที่ช่วยเหลือกัน
...
โดยขณะนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงแผนรับคนไทยกลับวันละ 400 กว่าคน และจะมีการจ้างเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ รับคนจำนวนมากจากกรุงเทลอาวีฟ มาที่ดูไบ โดยใช้เวลา 3 ชั่วโมง ส่วนคนที่ยังขึ้นเครื่องจากดูไบมากรุงเทพฯ ไม่ได้ จะมีที่พักให้ โดยทางสถานทูตมีการประสานเรื่องวีซ่าให้แล้ว โดยแผนจะเริ่ม 22 ต.ค. เป็นต้นไป
ส่วนกรณีการบินอ้อม ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนไปบ้างแล้ว คือเราไม่ได้ขอบินผ่านประเทศที่มีความเสี่ยงอาจจะไม่ได้รับอนุญาตหรืออาจได้รับอนุญาตแต่ล่าช้า เพราะเราคิดว่าการเสียเวลาบินอ้อมจะดีกว่า เนื่องจากการขอบินผ่านหลายประเทศจะต้องใช้เวลา โดยตามปกติใช้เวลาเป็นสัปดาห์ จึงไม่ได้ขอ เพราะอยากให้การเดินทางของคนไทยมันเร็วขึ้น
“ประเทศอื่นที่บินได้ ก็แล้วแต่ บางประเทศเขาก็มีการตกลงกัน หรือจริงๆ แล้วถ้าเราขอ ในห้วงนี้เป็นห้วงสถานการณ์สงคราม สถานการณ์มนุษยธรรม ก็อาจจะได้ก็ได้ แต่ว่าเราไม่อยากเสี่ยง เราไม่อยากรอ เราไม่อยากให้พี่น้องคนไทยต้องเสียเวลารอในเรื่องการขออนุมัติต่างๆ เพราะฉะนั้น การบินอ้อม นักบินบินเพิ่ม 3-4 ชั่วโมง ไม่ได้เป็นประเด็น”
อธิบดีกรมสารนิเทศ ยังกล่าวอีกว่า จริงๆ เที่ยวบินที่เราจัดอยู่มีจำนวนมาก แต่ปัญหาอุปสรรคที่ห่วงคือ คนไทยจะเดินทางมาที่ท่าอากาศยานยังไง ยืนยันว่าคนที่ลงทะเบียน ไม่ลงทะเบียน มาที่ศูนย์พักพิงได้ ถ้าอยากจะกลับบ้าน ซึ่งคนไม่มีเอกสาร ก็มีการออก เอกสารสำคัญประจำตัว (Certificate of Identity - C.I.) เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยให้ เพื่อให้คนไทยมาพักรอที่ศูนย์พักพิง และขึ้นเที่ยวบินกลับโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ เชื่อว่าจะนำคนไทยกลับบ้านได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมเตือนคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ ให้ติดตามการเตือนภัยของสถานทูต สถานกงสุลทุกแห่งที่ไป และขอให้มีเบอร์ฮอตไลน์ของสถานทูต สถานกงสุลไว้ โดยขณะนี้ก็ยังมีรายงานว่า ยังมีคนไทยเดินทางไปเยรูซาเล็ม จึงขอเตือนว่าหากเดินทางไปแล้วกลับมาไม่ได้ จะน่าเป็นห่วง
อธิบดีกรมสารนิเทศ ยังกล่าวถึงการช่วยตัวประกันว่า มีการหารือทุกระดับ เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ขอให้มั่นใจว่าทุกคนปลอดภัย “เราพยายามทุกทาง อย่างที่นายกฯ รมต. บอกว่ามีสัญญาณบวกว่ายังปลอดภัย ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ยังไม่มีเรื่องสังหารตัวประกัน เป็นเรื่องที่คาดยากว่าจะปล่อยตัวตอนไหน เพราะยังสู้รบกันอยู่ โดยเฉพาะเมื่อวานนี้มีการโจมตีโรงพยาบาล ทำให้สถานการณ์แย่ลงไป ตอนนี้ท่านทูตป่วย เพราะนอนน้อยมาก มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยแล้ว”
นอกจากนี้ อธิบดีกรมสารนิเทศ ยังเอ่ยถึงนักวิเคราะห์ ให้นึกถึงใจญาติพี่น้องคนไทยในอิสราเอล เพราะเกรงว่าจะตื่นตระหนก
เมื่อถามถึงคนไทยใกล้ฉนวนกาซา ปัจจุบันมีจำนวนเท่าใด อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวว่า ส่วนใหญ่อพยพออกมาแล้ว แต่ส่วนที่อยู่ห่าง 4 กิโลเมตร ไม่ใช่เป้าหมายของเขา ส่วนที่มีติดอยู่บ้าง กระทรวงการต่างประเทศพยายามติดต่อแล้ว หากสื่อมวลชนมีข้อมูลของใคร สามารถส่งมาได้ จะติดต่อไป แต่ช้าเร็วเป็นอีกเรื่อง
ส่วนคนที่บินตรงน้อยกว่าที่ลงทะเบียน ต้องสื่อสารไปได้เรื่อยๆ แต่คนที่เปลี่ยนใจไม่น่าห่วง แต่ห่วงเรื่องความปลอดภัยสำคัญที่สุด เพราะเรื่องการตัดสินใจไม่มา เพราะคิดว่าไม่ปลอดภัยเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว เพราะยังมีเครื่องให้ขึ้นอีก ขณะที่จำนวนตัวเลขต่างๆ ยังคงยืนยันว่า ให้ยึดทางกระทรวงการต่างประเทศเป็นหลัก.