“หมอมิ้ง” แจงสี่เบี้ย  3 ทางเลือกแหล่งที่มางบฯลุยแจกดิจิทัลวอลเล็ต บริหารจัดการงบฯปี 67 หั่นงบฯไม่จำเป็น เลื่อนหรือชะลอจัดซื้อบิ๊กโปรเจกต์ เล็งใช้เงินนอกงบประมาณ 2-3 แสนล้านบาท ขยายเพดานหนี้ ใช้เงินหน่วยงานรัฐก่อนตั้งงบฯจ่ายคืน และรัฐบาลกู้โดยตรง โอ่มีแผนรองรับใช้หนี้ปีละแสนล้านหมดใน 3 ปี “จุลพันธ์” ลั่นพร้อมให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ เชื่อไม่มีรั่วไหล ไร้ทุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดินรับคำร้องเครือข่ายนักวิชาการ สแกนแจกเงินหมื่นขัด รธน.หรือ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังหรือไม่ เร่งแสวงหาข้อเท็จจริงกางกฎหมายเทียบ ก่อนชงความเห็นให้ ครม. “จุรินทร์” มัดคอพท.หาเสียงไว้ต้องทำต่อ ขุดอดีตหลอนอย่าให้ซ้ำรอยจำนำข้าว “ชัยธวัช” ถกพรรคร่วมฝ่ายค้านชื่นมื่น ผนึกกำลังตรวจสอบเข้มรัฐบาล “ก้าวไกล” ขับ สส.เซ่นคุกคามทางเพศ คาดโทษ สส.หัวร้อนก่อเหตุวิวาท เร่งสอบ สส.หื่นกามในเดือน ต.ค. “ไอติม” ยันล้อมคอก ลงโทษไม่ปกปิด

กรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านการดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชัดเจนแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ ล่าสุด นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ มีทั้งงบประมาณส่วนหนึ่งและเงินกู้จากธนาคารของรัฐ

“หมอมิ้ง” ย้ำเงินดิจิทัลฟื้นวิกฤติโควิด

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet) ที่ถูกคัดค้านจากนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการนี้เพื่อนำมาชดเชยรายได้ที่หายไปของประชาชน เนื่องจากเศรษฐกิจทรุดหนักสุดลดลงถึง 7% ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ยังไม่กลับมาที่เดิม ฟื้นช้าสุดเมื่อเทียบกับประเทศทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศในตลาดเกิดใหม่ และทั่วโลก ในเมื่อหนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2566 สูงถึง 91.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ประชาชนที่ได้รับเงิน 1 หมื่นไปจะได้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน เป็นต้นทุนการผลิตได้ เช่น ครอบครัวไหนที่มี 4-5 คน ได้เงินรวมกัน 4-5 หมื่นบาท หรือคนรุ่นใหม่ที่เป็นสตาร์ตอัพเอาเงินนี้ไปซื้ออุปกรณ์มาประกอบอาชีพได้ และสามารถรวมกลุ่มกันไปตั้งร้านค้าชุมชน ตั้งวิสาหกิจชุมชน หรือซื้อปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ไม่ใช่แค่การแจกเงินให้ไปซื้อของ แต่มีกลไกที่รัฐบาลมองว่าจะทำให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องในระดับชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อย ดิจิทัลวอลเล็ตเปรียบเหมือนโครงการกอง ทุนหมู่บ้าน (กทบ.) แต่เป็นรายบุคคล

...

ตีปี๊บเพิ่มกำลังผลิตภาคอุตสาหกรรม

นพ.พรหมินทร์กล่าวอีกว่า เมื่อมีการใช้จ่ายบริโภคเพิ่มขึ้นจากเงินดิจิทัล ทำให้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันอยู่ที่ 60% ต่ำกว่าหลายประเทศมีโอกาสเพิ่มขึ้น และเมื่อมีการบริโภคมากขึ้นจะช่วยเพิ่มการผลิต การจ้างงาน ทำให้รัฐจัดเก็บรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการสร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจให้เกิด Multiplier effect ส่งผลให้จีดีพีขยายตัว ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของประชาชนต่อจีดีพีลดลงด้วย

ใช้แหล่งเงินผสมผสาน 3 ทางเลือก

นพ.พรหมินทร์กล่าวต่อว่า สำหรับแหล่งเงิน 560,000 ล้านบาทที่จะมาทำโครงการ ยืนยันว่ารัฐบาลเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลัง มีทางเลือก 2-3 ทาง อาจใช้หลายแนวทางผสมกัน โดยให้คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการแจกเงินดิจิทัลไปดูในรายละเอียด บนพื้นฐานว่าการทำโครงการนี้ต้องไม่กระทบกับเครดิตเรตติ้งของประเทศ โดยทางเลือกที่ 1 คือการบริหารจัดการงบประมาณปี 2567 โดยปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการขอให้เลื่อนหรือชะลอโครงการหรือการซื้อของขนาดใหญ่ออกไป แล้วรัฐบาลเติมเงินบำรุงรักษาให้

เล็งเม็ดเงินนอกงบฯ 2–3 แสนล้าน

นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า ทางเลือกที่ 2 คือการใช้เงินนอกงบประมาณ โดยให้หน่วยงานของรัฐออกเงินให้ก่อน รัฐบาลอาจใช้ช่องทางนี้ในการจัดหาแหล่งเงินทุน 2-3 แสนล้านบาท หากเลือกวิธีนี้ต้องขยายเพดานหนี้ตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 แต่ขยายเท่าใด จะขึ้นอยู่กับว่าใช้เงินจากช่องทางนี้แค่ไหน แต่รัฐบาลจะมีแผนจัดสรรเงินงบประมาณมาคืนให้ชัดเจน โดยหลักการแล้วหน่วยงานของรัฐเหล่านี้รัฐบาลถือหุ้นเต็ม 100% เท่ากับว่า หนี้ที่รัฐบาลกู้ยืมมาเป็นหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันทั้ง 100% ที่สำคัญรัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับใช้หนี้ทุกปีงบประมาณ เช่น ปีละ 1 แสนล้าน และจะใช้หมดภายใน 3 ปี หากดูจากขนาดของงบประมาณปีละกว่า 3.3 ล้านล้านบาท มั่นใจว่าสามารถบริหารและใช้คืนเงินกู้ในส่วนนี้ได้อยู่แล้ว เหมือนในอดีตที่รัฐใช้เงินทำกองทุนหมู่บ้านก็ไปเอาเงินของธนาคารออมสินมา 74,000 ล้านบาท และตั้งงบใช้หนี้คืนปีละ 1 หมื่นกว่าล้าน เป็นเวลา 7 ปี ถ้ามีแผนใช้คืนหนี้ที่ชัดเจนก็จะไม่กระทบกับเครดิตเรตติ้งของประเทศ มีทางที่จะหาเงินมาคืนได้แน่นอนเพราะรัฐบาลบริหารเงินเป็น และไม่ได้ทำให้การคลังของประเทศเสียหาย

วอนคนต้านวิจารณ์อย่างเป็นธรรม

นพ.พรหมินทร์กล่าวด้วยว่า ทางเลือกที่ 3 คือการกู้เงินโดยตรง ขณะนี้ยังไม่ได้ดูช่องทางนี้ จริงๆแล้วสามารถกู้ได้เพราะว่าตอนนี้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 60% ขณะที่เพดานอยู่ที่ 70% ทั้งขนาดของจีดีพีอยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท เท่ากับว่ามีช่องที่จะกู้เงินตรงนี้อยู่ 1.7 ล้านล้านบาท และถ้าจีดีพีโตยิ่งมีพื้นที่หายใจมากขึ้นอีก ข้อคิดเห็นที่มีในตอนนี้ ในระบอบประชาธิปไตยสามารถตรวจสอบตัวเลขต่างๆได้ และต้องดูด้วยความเป็นธรรม ไม่อคติ หรือหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่จ้องทำลายความเชื่อถือ ถ้ามีข้อวิจารณ์ ขอให้วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ ทางรัฐบาลรับข้อกังวลทั้งหมดและพิจารณาอย่างรอบคอบ

“จุลพันธ์” พร้อมให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เปิดเผยว่า การประชุมอนุกรรมการฯครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพื่อนำข้อสงสัย ข้อท้วงติง คำแนะนำ และทุกข้อห่วงใยจากทุกหน่วยงาน รวมถึงจาก ป.ป.ช.เพื่อขจัดข้อสงสัยทั้งหมด และให้การดำเนินการด้วยความรอบคอบรัดกุมที่สุด เชื่อว่าโครงการนี้ไม่มีรั่วไหล ไม่มีทุจริต ดำเนินการภายใต้กฎหมาย 3 ฉบับ คือ พ.ร.ฎ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 และ พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 ตนพร้อมไปพบ ป.ป.ช.เพื่อฟังคำชี้แนะต่างๆ รวมถึงคณะกรรมการที่จะมาร่วมตรวจสอบการใช้เงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาช่วยเป็นหูเป็นตา ถือเป็นเรื่องที่ดี เชื่อว่าไม่มีการรั่วไหลแน่ เพราะเป็นการเติมเงินให้ประชาชนได้ใช้จ่ายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าให้มาอยู่ที่ระดับ 5% ให้ได้ในปีหน้า

“พิมพ์พิชชา” อัดขวางเงินหมื่นเพื่อ ปชช.

น.ส.พิมพ์พิชชา ชัยศุภกิจเจริญ สส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า  หลังการเข้าบริหารประเทศรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง สร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่ผ่านมามีประชาชนสอบถามมามากว่าเมื่อไหร่จะได้ใช้เงิน 10,000 บาทในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพราะหากมีเงินนี้เข้ามาจะช่วยลดต้นทุนการเกษตรไปได้มาก นำเงินไปซื้ออุปกรณ์การเกษตร ซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าแมลง จะช่วยให้เกษตรกรได้ผลผลิตการเกษตรได้มากขึ้น เงิน 10,000 บาทในโครงการมีความหมายมากกับประชาชนที่ยากไร้ กรณีมีคนคัดค้านอยากให้ลองไปถามชาวบ้านดูว่าเงิน 10,000 บาทมีค่ามากแค่ไหน จึงไม่ควรมาขวางโครงการที่ทำขึ้นเพื่อคนไทยทั้งประเทศ

ผู้ตรวจการฯรับคำร้องสอบแจกเงินหมื่น

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีนางวิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ ยื่นเรื่องถึงผู้ตรวจฯพร้อมความเห็นนักวิชาการ ขอให้วินิจฉัยพร้อมส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง เกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาล เนื่องจากเห็นว่าอาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายวินัยการเงินการคลังไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า ผู้ตรวจฯได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริง เพราะรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน เกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติ เมื่อมีความชัดเจนแล้วผู้ตรวจฯ จะนำมาพิจารณา ให้ความเห็น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเห็น นำมาเทียบกับหลักกฎหมาย หากเข้าเงื่อนไขที่สามารถส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองก็จะดำเนินการต่อ แต่ขณะนี้ต้องขอดูข้อเท็จจริงความชัดเจนก่อน เพื่อพิจารณาว่าขัดหรือไม่ขัดต่อกฎหมาย

แสวงหาข้อเท็จจริงส่งความเห็นสู่ ครม.

เมื่อถามถึงข้อห่วงใยของอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและนักวิชาการ รวมถึงหลายฝ่าย มองว่านโยบายนี้อาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณ ผู้ตรวจการฯ จะหยิบยกขึ้นมาหารือและทำข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า การแสวงหาข้อเท็จจริงของผู้ตรวจการฯ ก่อนออกคำวินิจฉัยที่จะส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะนำความเห็นของทุกฝ่าย ทั้งนักวิชาการและของส่วนงานราชการที่ รับผิดชอบมาประมวล และรับพิจารณา เมื่อถามย้ำว่ารัฐบาลต้องมีความชัดเจนในประเด็นนี้ก่อนใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องมีความชัดเจนก่อน ไม่เช่นนั้นผู้ตรวจฯจะไม่สามารถพิจารณาได้ว่าขัดหรือไม่ขัดกฎหมาย เนื่องจากยังไม่ทราบว่ารายละเอียดจะดำเนินการอย่างไร และหลังจากผู้ตรวจฯ ได้แสวงหาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายแล้ว จะทำความเห็นและข้อเสนอแนะไปยังคณะรัฐมนตรี เรารับไว้แล้วอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หลังจากที่มีความชัดเจนว่าในส่วนของรัฐบาลจะดำเนินการอย่างใด ลักษณะใดแล้วเราก็จะนำประเด็นข้อร้องเรียนให้รัฐบาลได้ชี้แจงในเบื้องต้น

รอเปรียบเทียบกับข้อกฎหมาย

นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า จะเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือครบถ้วนหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องไปยัง ครม.ให้พิจารณาให้รัฐบาลดำเนินการได้ หรือกรณีที่เป็นการละเมิดสิทธิประชาชนที่จะได้รับบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ แล้วแจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแล้วไม่ดำเนินการสามารถส่งเรื่องมายังผู้ตรวจการฯ เพื่อส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาได้ ต้องดูข้อเท็จจริงเทียบกับข้อกฎหมาย

“อู๊ดด้า” มัดคอ รบ.เดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต

ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า รัฐบาลเป็นคนติดกระดุมเม็ดแรกตั้งแต่ตอนหาเสียง หากไม่ทำคงไม่ได้ ต้องอยู่บนความรับผิดชอบต่อผลที่จะตามมาด้วย เพราะตอนที่หาเสียงมีเสียงท้วงติงมาก มาถึงตอนนี้หากไม่ทำคงไม่ได้แล้วสิ่งที่รัฐบาลต้องรับฟังคืออย่าให้นโยบายนี้ซ้ำรอยกับนโยบายจำนำข้าว อย่าให้เป็นบทเรียนซ้ำรอยอีกหลายฝ่ายเป็นห่วง ถึงวันนี้ยังสะท้อนว่ารัฐบาลยังมะงุมมะงาหรา เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะทำอย่างไรและจะเอาเงินมาจากไหน แม้จะแถลงเป็นระยะ ยิ่งสะท้อนว่า ความชัดเจนยังไม่เกิดขึ้น รัฐบาลต้องเร่งทำ ไม่เช่นนั้นระบบเศรษฐกิจจะขาดความเชื่อมั่น

ขุดอดีตอย่าให้ฉาวซ้ำรอยจำนำข้าว

นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า สิ่งที่เตือนว่าอย่าให้ซ้ำกับจำนำข้าว เริ่มต้นแบบนี้ ท่ามกลางเสียงทักท้วง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) รวมถึงหลายฝ่ายก็ติดตาม แต่อย่างน้อยแล้ววันนี้จะมีการประชุมคณะ กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจจะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ กมธ.ให้ติดตามเรื่องนี้ด้วย ส่วนกรณีการรวบรวมรายชื่อยื่นร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อคัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์ มีความเห็นทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อรัฐบาลติดกระดุมเม็ดแรก ต้องติดกระดุมเม็ดที่สองต่อ ถ้าผิดต้องรับผิดชอบ ต้องติดตามต่อไป

“ชัยธวัช” ผนึกฝ่ายค้านตรวจสอบ รบ.

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านครั้งแรก ประกอบด้วยตัวแทนพรรค ก.ก. พรรค ปชป. พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) และพรรคเป็นธรรม (ปธ.) เพื่อหารือการทำงานของฝ่ายค้าน โดยนายชัยธวัชแถลงว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นทางการครั้งแรกเป็นไปด้วยดี ตนในฐานะหัวหน้าพรรค ก.ก.จะทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ได้ขอความร่วมมือทุกพรรคทำงานเดินหน้าภารกิจของพรรคร่วมฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลตลอด 4 ปี เราหารือแนวทางการทำงานร่วมกันหลายประเด็น เช่น จัดเวทีฝ่ายค้านพบประชาชนหลังปิดสมัยประชุม รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ การเตรียมการอภิปรายทั่วไปที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราวต้นปีหน้า หลังผ่านวาระ 3 การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี อาจเป็นอภิปรายแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 หรือหากมีหลักฐานที่ชัดเจน อาจยกระดับเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 เรื่องเหล่านี้ หลายพรรคจะนำกลับไปหารือกับ สส.ก่อน พรรค ก.ก.แกนนำจะทำงานตรงไปตรงมา เน้นเนื้อหาและความสร้างสรรค์

ก.ก.กาหัว “สิริน” ขับ “เกรียงไกร” พ้นพรรค

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ก.ก. พร้อม น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.ในฐานะคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณสมาชิก พรรค ก.ก. แถลงภาพรวมการสอบข้อเท็จจริงกรณีบุคลากรในพรรคตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาประเด็นคุกคามทางเพศหลายกรณี โดยนายพริษฐ์แถลงว่า ยอมรับพรรคกำลังมีปัญหาการคุกคาม ความรุนแรงทางเพศที่ต้องยอมรับ เผชิญหน้ากับปัญหา หาความเป็นธรรมให้ผู้เสียหาย ไม่สร้างวัฒนธรรมปกปิด ปกป้องคนในองค์กร โดยมีมติ กก.บห.ไปแล้วคือ 1.กรณีนายสิริน สงวนสิน สส.กทม.ใช้ความรุนแรง โดยทะเลาะวิวาท กระทำความรุนแรงต่อผู้เสียหายจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย มีการทำลายทรัพย์สิน ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม เข้าข่ายผิดวินัยพรรคอย่างร้ายแรง มีมติตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกพรรค ไม่ให้ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่ง คาดโทษไว้หากทำผิดวินัยร้ายแรงอีกจะขับออกจากสมาชิกภาพ 2.กรณีนายเกรียงไกร จันกกผึ้ง อดีตผู้สมัคร สส.ชัยภูมิ ถูกกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ (โฆษกหญิงของพรรคหนึ่ง) พบว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหายจริง ละเมิดหลักความยินยอมและสิทธิในเนื้อตัวและร่างกายของผู้เสียหายชัดเจน ขัดอุดมการณ์ ผิดวินัยพรรคร้ายแรง มีมติให้ขับนายเกรียงไกรออกจากสมาชิกภาพทันที

จ่อสรุปสอบ “วุฒิพงษ์” เเชตสยิว ต.ค.

นายพริษฐ์แถลงว่า ส่วนที่ 2.ข้อกล่าวหา ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวน มี 2 กรณี 1.เรื่องนายวุฒิพงษ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี คุกคามทางเพศ พรรคยืนยันต้องการให้มีข้อยุติเร็วที่สุด ณ เวลานี้มีข้อเท็จจริงจำนวนมาก คณะกรรมการวินัยฯสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมทุกฝ่ายให้ครบถ้วน เพื่อหาข้อสรุปทั้งหมด จะได้ข้อสรุปภายใน ต.ค. จะสื่อสารผลสรุปต่อสาธารณะทันทีอย่างเปิดเผย กรณีที่ 2 (ซึ่งไม่ปรากฏในสื่อสาธารณะ) ข้อกล่าวหาเรื่องการคุกคามทางเพศโดย สส. อีก 1 คน ทราบข้อมูลว่าเกิดเหตุการณ์ที่อาจเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศ แม้ว่าพรรคยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนโดยตรงจากบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหาย แต่เร่งติดต่อบุคคลดังกล่าวรอความพร้อมการให้ข้อมูลเพิ่มเติม หากได้ข้อสรุปเป็นความผิด พรรคจะไม่อดทนต่อการกระทำผิดทางเพศ การใช้อำนาจโดยมิชอบ การคอร์รัปชัน และการฉ้อฉล จะลงโทษโดยไม่สนต่อผลกระทบทางการเมืองที่ตามมา ส่วนที่ 3.แนวทางปรับปรุงป้องกันไม่ให้เกิดการคุกคามทางเพศในอนาคต ขอให้คำมั่นสัญญา จะปรับปรุงการทำงานของคณะกรรมการวินัยฯให้มีสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ไม่ใช่ สส.พรรคและไม่ใช่เพศชาย เพิ่มขึ้น ปรับปรุงกระบวนการสอบสวนป้องกันไม่ให้ล่าช้า และเพิ่มความเข้มข้นการอบรมบุคลากรพรรค เรื่องการเคารพความเสมอภาคทางเพศและสิทธิในเนื้อตัว

สส.หญิง ก.ก.รับกระอักกระอ่วนใจ

น.ส.ศศินันท์ตอบคำถามสื่อกรณีนายวุฒิพงศ์ว่า หลักฐานที่ได้มามี 200 กว่าแผ่น และพบมีพยานหลักฐานอื่นอีก ต้องการข้อความส่วนที่หายไปมาประกอบ ส่วนที่นายวุฒิพงศ์อ้างว่าถูกดิสเครดิต ช่วงแรกเหมือนจะเป็นการดิสเครดิต ก่อนจะมีเรื่องการคุกคามทางเพศเข้ามาด้วย ดูเหมือนมีการโยงหลายเรื่องรวมกัน ยอมรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระอัก กระอ่วนใจของ สส.หญิงของพรรค เป็นความจริงที่เราอภิปรายเรื่องความรุนแรงในครอบครัว เรื่องเด็ก สตรี กระอักกระอ่วนใจ เราต้องตอบสังคมให้ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อก่อนกรรมการวินัยฯมีสัดส่วนผู้หญิงน้อยมาก จึงได้เพิ่มสัดส่วนผู้หญิงขึ้นมา อาจไม่สามารถคุมคนทุกคนได้ แต่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดร่วมกัน

“เศรษฐา” ถกนายกฯสิงคโปร์ชื่นมื่น

สำหรับภารกิจนายเศรษฐา ทวีสิน นายก รัฐมนตรี และ รมว.คลัง เยือนต่างประเทศเป็นวันสุดท้าย เมื่อเวลา 11.00 น. (เวลาท้องถิ่นประเทศสิงคโปร์เร็วกว่าไทย 1 ชม.) ที่ทำเนียบประธานาธิบดี ประเทศสิงคโปร์ นายเศรษฐาได้ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ จากนั้นที่ห้อง West Drawing Room ทำเนียบประธานาธิบดีสิงคโปร์ นายกฯเข้าเยี่ยมคารวะนายทาร์มัน ชันมูการัตนัม ประธานาธิบดีสิงคโปร์ พูดคุยถึงความร่วมมือในมิติที่ 2 ประเทศมีศักยภาพ อาทิ พลังงาน อาหารและสินค้าเกษตร การเงิน การลงทุน ไทยหวังจะเชิญชวนนักลงทุนด้าน Data Center เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากนั้น ที่ห้อง East Drawing Room ทำเนียบประธานาธิบดีสิงคโปร์ นายกฯพบหารือทวิภาคีกับนายลี เซียนลุง นายกฯสิงคโปร์ โดยหวังขยายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนทวิภาคี ด้านเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมสีเขียว พันธบัตรสีเขียว และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และยินดีที่เศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศดีขึ้นหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมเดินหน้าเศรษฐกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยว นายกฯสิงคโปร์กล่าวยินดีการเชื่อมโยงระบบ PromptPay-PayNow กระชับความร่วมมือด้านพลังงาน การเงิน รวมถึงความมั่นคงทางอาหารที่ไทยพร้อมสนับสนุน เห็นพ้องกับความร่วมมือการพัฒนาธุรกิจให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ขณะที่นายกฯเห็นว่าควรเดินหน้าร่วมมือกันในการประชุม ASEAN-GCC มีหลายประเด็นต้องพูดคุย ทั้งความมั่นคง และเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเชิญนายกฯสิงคโปร์เยือนไทยในโอกาสแรกที่ทั้งสองฝ่ายสะดวก

หารือคณะผู้บริหารธนาคาร UOB

ต่อมาเวลา 12.00 น. (เวลาท้องถิ่น) ที่ทำเนียบประธานาธิบดีสิงคโปร์ นายลี เซียนลุง นายกฯสิงคโปร์ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่นายเศรษฐา จากนั้นนายกฯหารือกับคณะผู้บริหารเครือธนาคาร UOB ณ Financial District จากนั้นนายกฯเดินทางกลับประเทศไทยถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กทม.เมื่อเวลา 16.30 น. ทั้งนี้ ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจนายกฯเยือน 4 ประเทศอาเซียน

“อุ๊งอิ๊ง” เปิดงานมหกรรมหนังสือ

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศูนย์การประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบ ครัวเพื่อไทย รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ชอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ พรรค พท. เป็นประธานเปิดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 28 (Book Expo Thailand 2023) มีนายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) คณะกรรมการสมาคมฯและผู้บริหารระจากสำนักพิมพ์ชั้นนำเข้าร่วม โดย น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ปีนี้งานหนังสือยิ่งใหญ่ขึ้น มีคนให้ความสนใจมากขึ้น เกาหลีใต้ผู้นำซอฟต์ พาวเวอร์จัดมหกรรมหนังสือมีมูลค่ามากกว่ามหกรรมหนัง ซีรีส์หรือเพลงรวมกันด้วยซ้ำ ขอสนับสนุนการอ่านอย่างเต็มที่ในอนาคตอยากปักหมุดประเทศไทยให้มหกรรมหนังสือของเราดังไปทั่วโลก ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆที่ได้จากหนังสือจะเกิดขึ้นมากมายในอุตสาหกรรมต่างๆขอรณรงค์ให้ทุกคนให้ของขวัญเป็นหนังสือมอบให้กันและกัน ทั้งหนังสือราคาไม่สูง อยู่ได้ยั่งยืนถ้าเก็บดีและจะมีค่าไปอีกหลาย 10 ปี เป็นของขวัญที่ให้แล้วอยู่คงทนและอยู่ในใจคนที่เราให้ไปนานแสนนาน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่